ค้นหาบทความ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตำนานการรับรองอาคันตุกะด้วยน้ำชา

ชา : สีอะคริล บนแคนวาส 

การต้อนรับอาคันตุกะ หรือแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำชานั้น มีหลักฐานบันทึกมาเนิ่นนาน อย่างน้อยในสมัยจิ้นตะวันออก (ค.ศ.314-420) มีบทกวีบทหนึ่งของหวางเหมิงระบุอย่างชัดเจนว่า ใช้น้ำชาคารวะอาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยือน
สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960-1279) มีบทกวีวรรคหนึ่งที่เลื่องลือของตู้ไหล ซึ่งมักนำมาอ้างอิงเสมอ เมื่อพูดถึงมิตรสหาย น้ำชา และสุรา ความว่า
ในคืนหนาวเหน็บ อาคันตุกะมาเยือน ให้น้ำชาต้อนรับแทนสุรา เตาไฟน้ำเดือด ไฟเริ่มแดง

สมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) เจิ้งชิงได้เขียนบทกวีเกี่ยวกับการใช้น้ำชาต้อนรับแขก เป็นบทกวีวรรคหนึ่งที่ไพเราะและให้ภาพงดงาม
น้ำค้างวสันต์จอกหนึ่งรั้งอาคันตุกะไว้ได้อีกชั่วครู่
ใต้สองแขนลมเย็นโชยผ่านดั่งว่าเป็นเซียนเหินบินไป

การต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำชานี้ หากสืบสาวข้อมูลย้อนกลับไปจะพบว่า เริ่มตั้งแต่ปลายสมัยสามก๊ก (ค.ศ.220-280) ซึ่งมีเรื่องเล่าดังนี้
ตั้งแต่สมัยที่ตู้คังรู้จักการทำสุรา การต้อนรับแขกทั้งในราชสำนัก ในสังคมชั้นสูง และในหมู่ประชาชนทั่วไป ล้วนแต่ใช้สุราเป็นเครื่องดื่มรับรอง แสดงการให้เกียรติของเจ้าภาพทั้งสิ้น
ในสมัยสามก๊ก กษัตริย์ซุนฮ่าวซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอู๋กว๋อ เป็นกษัตริย์ผู้โง่เขลาเบาปัญญา ไม่สนใจกิจบ้านงานเมือง รู้จักแต่หาความสำราญใส่ตัว ลุ่มหลงในสุรานารี เพื่อความเบิกบานสำราญใจ จึงมักจัดงานเลี้ยงเหล่าขุนนางข้าราชบริพารเป็นประจำ โดยการจัดงานเลี้ยงแต่ละครั้ง มักจะดื่มกินกันอย่างฟุ่มเฟือยจากเช้าจรดค่ำ มีนางสนมกำนัลในและนางระบำรำฟ้อนร่วมอยู่ในงานเสมอ สิ่งหนึ่งที่กษัตริย์ซุนฮ่าวชอบทำเสมอก็คือ การมอมสุราผู้มาร่วมงานให้เมามาย
มีขุนนางใหญ่คนหนึ่งชื่อเหวยจาง เป็นคนดื่มสุราได้น้อย เพียงดื่มแค่ 2 จอกก็เกิดอาการเมามายแล้ว ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยง การดื่มสุราเวียนมาถึงรอบที่ 3 กษัตริย์ซุนฮ่าวสนุกกับการดื่มครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงสั่งให้ขุนนางข้าราชบริพารดื่มสุราของตนติดต่อกัน 3 จอก
เหวยจาวดื่มสุราเข้าไป 2 จอกแล้ว กำลังอยู่ในอาการเมามาย ครั้นได้ยินบัญชาให้ดื่มสุราจอกที่ 3 จึงตกใจมาก ครั้นจะไม่ดื่มก็เกรงจะมีความผิด จึงตัดสินใจยกสุราจอกที่ 3 แล้วกลั้นใจดื่ม ยังไม่ทันวางจอกลงก็มีอาการทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงกับพื้นทันที เป็นอันว่างานเลี้ยงต้องเลิกล้มไปโดยปริยาย จากการเมามายจนทรงตัวไม่อยู่ของเหวยจาวนี่เอง
เวลาล่วงเข้าเดือนสิบฤดูชิวเทียน ดอกไม้นานาพรรณในอุทยานพากันเบ่งบ่านอวดโฉมงดงาม เหวยจาวกำลังดื่มน้ำชา ชมดอกไม้ เป็นเพื่อนกษัตริย์ซุนฮ่าว
ขณะหนึ่ง กษัตริย์ซุนฮ่าว ถามว่า “ทำไมความสามารถในการดื่มสุราของท่านจึงไม่พัฒนาขึ้นเลย”
เหวยจาวตอบว่า “ตั้งแต่เมามายครั้งนั้นแล้ว เมื่ออยู่ที่บ้านข้าก็หมั่นเพียรฝึกฝนดื่มสุราอยู่เป็นนิจ แต่ละมื้ออาหารข้าล้วนดื่มสุราไปด้วย แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจดื่มให้มากกว่าเดิมได้ ดูท่าชะตากำหนดให้ข้าดื่มสุราได้เพียงสองจอกกระมัง”
กษัตริย์ซุนฮ่าวได้ฟังดังนั้นจึงส่ายหน้าด้วยความระอา พลางว่า “เป็นถึงขุนนางอำมาตย์ระดับผู้ใหญ่ แต่ความสามารถในการดื่มกินมีน้อยถึงเพียงนี้ ช่างใช้ไม่ได้เอาเสียเลย”
เหวยจาวยกจอกน้ำชาขึ้นพลางกล่าวว่า
ภาษิตชาวบ้านกล่าวไว้ดีนัก กบไสไม้นั้นเหมาะกับการใช้ไสไม้ให้เรียบ ส่วนเลื่อยนั้นเหมาะกับการใช้ตัดไม้ออกเป็นท่อน แต่ละสิ่งแต่ละอย่างล้วนมีข้อเด่นของตนเอง ไม่อาจนำมาใช้แทนกันได้ ข้าผู้น้อยนั้น แม้ว่าจะดื่มสุราได้เพียงน้อยนิด แต่หากให้ดื่มน้ำชาละก็ แต่ละครั้งข้าสามารถดื่มชาป้านใหญ่ๆ ได้เป็นจำนวนหลายป้านเลยทีเดียว หากไม่เชื่อ ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านดูให้ประจักษ์ตา
ว่าแล้วเหวยจาวก็ยกป้านน้ำชาขึ้นดื่มติดต่อกันทีเดียว 3 ป้าน
กษัตริย์ซุนฮ่าวเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า
“ความสามารถในการดื่มชาของท่านนั้นสูงล้ำ นับแต่นี้ไปในงานเลี้ยงสุราทุกครั้ง ข้าอนุญาตให้ท่านดื่มชาแทนสุราได้ แต่เรื่องนี้ไม่ควรแพร่งพรายออกไปภายนอก มิฉะนั้นแล้วขุนนางอำมาตย์ท่านอื่นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้”
เหวยจาวยินดียิ่งนัก จึงค้อมคารวะแสดงความขอบคุณ
ต่อมา กษัตริย์ซุนฮ่าวจัดงานเลี้ยงเหล่าขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก มีบัญชาให้ขันทีเตรียมน้ำชาสำหรับเหวยจาว 2 ป้าน เมื่อพระองค์และเหล่าขุนนางอำมาตย์ดื่มสุราจอกหนึ่ง เหวยจาวก็ดื่มน้ำชาจอกหนึ่ง ดื่มกันจากเช้าจนเที่ยง ขุนนางใหญ่หลายคนเมามายล้มฟุบกับโต๊ะแล้ว แต่เหวยจางยังคงกระปรี้กระเปร่า ชักชวนให้ผู้อื่นดื่มกินต่อไป กระทั่งทุกคนในงานเลี้ยงล้วนเมามาย มีเหวยจาวเพียงผู้เดียวที่ยังครองสติได้อยู่
เมื่อข่าวคราวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ภายในราชสำนักและในหมู่ประชาชนทั่วไปจึงหันมานิยมใช้น้ำชาแทนสุราในการรับรองอาคันตุกะ และกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวงกว้างจวบถึงปัจจุบัน


เรืองรอง  รุ่งรัศมี


พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในหนังสือ รวยรินกลิ่นชา ฉบับพิมพ์ครั้งแรก แพรวสำนักพิมพ์ พ.ศ.2543

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น