ค้นหาบทความ

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คนปลายแถว



คนบางคนเลือกที่จะดำเนินชีวิตไปในวิถีแห่งวีรบุรุษ บางคนเกิดมาเพื่อที่จะเจ็บปวดตลอดชีวิต พวกเขาอาจเป็นคนร่วมในยุคสมัยเดียวกัน พวกเขามีช่วงวัยที่แตกต่างกัน จะอย่างไรก็ตาม คนสองจำพวกนี้ก็มีอยู่ในทุกยุคสมัย เป็นผู้คนที่ร่วมในลมหายใจเดียวกันกับเรา
ในประกายรังสีอันเฉิดฉายของดวงดาวที่โดดเด่นบนฟากฟ้า ผู้คนแหงนคอตั้งบ่ามองดูด้วยความเทิดทูน ใฝ่ฝัน กระทั่งฉงนสงสัย คงจะมีไม่มากคนที่เกิดความคิดแวบขึ้นมาในบางครั้งว่า แสงพริบพรายเจิดจรัสอันสว่างไสวนั้น จะใช่แสงสะท้อนของผลึกของหยาดน้ำตาหรือไม่
น้ำตาที่บังคับให้รินย้อนเข้าสู่ภายในหัวใจ ผ่านวันเวลายาวนานจนลืมเลือน บางครั้งก็อาจกลายเป็นผลึกแข็ง วาวใสสะท้อนประกาย แข็งแกร่ง ทว่าเปราะร้าวง่ายดาย
หากว่าผลึกน้ำตาของวีรบุรุษคือประกายเฉิดฉายของดาวบนฟ้า จะมากจะน้อยย่อมมีผู้ที่แลเห็น จะด้วยความเห็นใจ ด้วยความฉงนสงสัย หรือด้วยความสมเพทเวทนาก็เถิด ประกายของผลึกน้ำตานั้นมิได้อ้างว้างกระทั่งไม่มีผู้ใดรับรู้ ไร้ผู้เหลียวแล

แต่ว่าโลกนี้ยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง คนที่เกิดมาเพื่อที่จะมีชีวิตที่ปวดร้าวเปลี่ยวเหงาตลอดชีวิต พวกเขาเป็นคนสามัญธรรมดาที่มิได้มีความโดดเด่นใดๆ ใช้ชีวิตทำในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ตามความสามารถ และสำนึกชั่วดีที่รู้แบ่งแยกของตน พวกเขาไม่เคยนำตัวเองเดินไปอยู่ข้างหน้าตรงจุดโดดเด่น ที่ผู้คนจะสังเกตเห็น พวกเขาเลือกที่จะเดินไปช้าๆ ที่ปลายแถวและท้ายขบวน กระทั่งว่า บางครั้งเดินห่างรั้งท้ายไปหลายๆ ก้าว
พวกเขาเดินช้า เพราะว่าพวกเขาครุ่นคิด พวกคำมีคำถามในรายละเอียดที่พวกเขาต้องการคำตอบก่อนจะกระทำ พวกเขาไม่ใช่คนนอกสังคม ออกจะตื่นประหม่าเมื่อต้องแสดงตัวต่อคนหมู่มาก พวกเขาเป็นคนแปลกแยกด้วยว่ามากด้วยคำถาม พวกเขามากเรื่องมากความในรายละเอียดเล็กน้อยทุกๆ เรื่องราว จึงมิอาจกระทำการใหญ่อันใด พวกเขามิยินยอมเสียสละแม้เพียงเล็กน้อยในสิ่งที่ขัดต่อทัศนะความเชื่อมั่นของเขาภายหลังถามตอบซักไซ้ตัวเองในแง่หลักการ คุณธรรม และจริยธรรม

ในยุคสมัยแห่งวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ กระทำในเรื่องราวเล็กๆ ที่ผู้คนอื่นใดล้วนทำแทนได้ พวกเขามิใช่แม่ทัพนายกอง มีคำถามมากมายที่พวกเขาหาคำตอบที่พอใจไม่ได้หากต้องตัดสินใจรวดเร็วฉับพลัน และเขาไม่กล้าตัดสินใจกระทำการใดหากมีคำถามคาใจอยู่ บางคำถามค้างคาอยู่กับชีวิตแม้กาลเวลาล่วงผ่านมาถึง 20 ปี พวกเขาจึงก้าวฝีเท้าเชื่องช้า ก้าวไม่พ้นคำถามที่ผู้คนส่วนหนึ่งละทิ้ง กระทั่งปล่อยวางลงแล้ว พวกเขาเป็นเบี้ยตัวเล็กๆ ก้าวไปเชื่องช้า เป็นคนปลายแถวมากความปวดร้าว

พวกเขาเป็นฝุ่นละอองชีวิตในกระแสกรรโชกรุนแรงของยุคสมัย พวกเขาเป็นหยดน้ำน้อยไร้ความสำคัญในกระแสธารแห่งความเป็นไป ผ่านแดด ผ่านลม ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝุ่น ผ่านไฟ ไปในความเงียบ ยามหยาดละอองน้ำรวมตัวเป็นเมฆ ยามสายฝนสาดสายจากฟ้า ยามแผ่นหินเรียงตัวเป็นทางวิถี พวกเขาเป็นส่วนเสี้ยวเล็กน้อยทอดตัวปูทางนิ่งเงียบ รู้เพียงในตัวตนเล็กน้อยของเขา ตระหนักตื่นในการเลือก เชื่องช้า จึงเป็นเพียงเม็ดกรวดริมทางวิถี มิได้เร่าร้อนเริงแรง จึงเป็นเพียงปลายลำแสงยามพลบ เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กน้อยตรงชายขอบของความเป็นไป มิใช่เมฆฝนทั้งก้อน มิใช่คลื่นทั้งกระแสที่เฝ้าโถมถั่ง มิใช่เส้นทางทั้งทาง เป็นเพียงส่วนเสี้ยวที่อยู่ระหว่าง พร้อมที่จะสลัด หรือถูกสลัดตัวกระเด็นให้อยู่ห่างไกลในความเป็นไป

ในยุคสมัยแห่งความล่องลอย คนปลายแถวยังคงสังกัดตัวเองอยู่ที่ปลายขบวนแถว ผู้คนพากันล่องลอยสู่ฟ้า โดยสารฟองสบู่เบาบางวาวใสขึ้นสูง คนปลายแถวสงสัยในความมั่นคงแข็งแรงของฟองสบู่ คนปลายแถวมีคำถามที่ต้องการคำตอบกับความเร็วความสูงของการล่องลอย คนปลายแถวมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ เขาครุ่นคิดไตร่ตรอง งุ่มง่าม จนเอื้อมมือไม่ถึงฟองสบู่ที่ลอยสูงขึ้นทุกที จำนวนผู้คนในฟองสบู่หลากหลาย ฟองสบู่วาวใสเลื่อมพรายยามต้องแสงแดด เฉิดฉายราวกับเลื่อมรุ้ง
ใครกันเป่าฟองสบู่เหล่านี้ขึ้นมา
ใครกันที่ชี้ชวนให้ผู้คนโดยสารฟองสบู่เหล่านี้ไปสู่ฟากฟ้า
ใช่เพื่อนในยุคสมัยของเขาไหม
ใช่คนที่คุ้นเคยกับเขาบ้างไหม
ใช่ศัตรูเก่าที่เคยขับเคี่ยวกับเขามาแล้วยาวนานหรือไม่

คำถามมากมายฉุดรั้งน้ำหนักตัวเขาให้ไม่อาจล่องลอยไปกับฟองสบู่ได้ จะมีฟองสบู่ใดทนรับน้ำหนักหนักอึ้งแห่งคำถามของคนปลายแถวได้ เขาจึงไม่อาจล่องลอยไปบนฟ้า เขาจึงได้แต่เป็นคนปลายแถวที่ว้าเหว่และปวดร้าวอยู่บนพื้นดิน ด้วยว่ารอบตัวเขานั้นเปลี่ยวเหงาและร้างไร้ผู้คนยิ่งขึ้นทุกที
ในฟองสบู่วาวใสที่ลอยสู่ฟ้า มีใครโดยสารไปบ้าง มีคนที่ผมหงอกขาว มีคนที่ผมดกดำ มีคนกร้าวแกร่งมากด้วยริ้วรอยชีวิต มีคนเยาว์วัยที่รู้เพียงแสวงหาการเที่ยวเล่นที่เพลิดเพลิน มีคนรุ่นหลังที่แปลกแยกปวดร้าว พวกเขาโดยสารฟองสบู่ล่องลอยไปในฟ้าสูง ลูกแล้วลูกเล่า วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ท้องฟ้าเริ่มไม่มีช่องว่างให้แสงแดดได้ส่องทะลุมาจับประกายเลื่อมพรายหลากสีของฟองสบู่ คนในฟองสบู่เริ่มอึดอัดไม่พอใจ คนปลายแถวที่พื้นดินหดหู่และอารมณ์เสีย
ท้องฟ้ามิได้มีสีสันเลื่อมพรายงดงามเหมือนก่อน ที่พื้นดินนั้นก็ว้าเหว่เงียบเหงา คนปลายแถวที่อยู่ปลายแถวมานานตามวิถีชีวิตปวดร้าวของเขา เข้าใจในความเป็นไปและเพิ่มคำถามอีกจำนวนหนึ่งเข้าไว้ในชีวิต เขายังคงเป็นคนปลายแถวที่เชื่องช้า ว้าเหว่ และปวดร้าว คนปลายแถวรุ่นฟองสบู่มีแต่ความปวดร้าวและผิดหวัง จนอยากตัดพ้อทั้งคนหัวแถว คนในฟองสบู่ และคนปลายแถวรุ่นก่อน หัวใจและจิตวิญญาณของเขาอึดอัดปวดร้าว หัวอกของเขาอุกอั่งคลั่งแค้น เขาเปล่งเสียงร้องโหยหวนก้องดังหวังให้สะท้านแผ่นฟ้าสะเทือนผืนดิน

คนปลายแถวยังคงใช้ชีวิตเชื่องช้าอยู่ที่ปลายแถว ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยแห่งวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ หรือยุคสมัยแห่งความล่องลอยของฟองสบู่ เขาก็แลดูเป็นคนที่ไม่กลมกลืนไปกับยุคสมัย เขาก้าวไปด้วยฝีก้าวช้าๆ ห่างไปจากปลายขบวนผู้คนทั้งหลาย เขามีคำถามมากมายที่ยังต้องถาม และเขามีคำตอบมากมายที่ยังต้องตอบ เขามีความปวดร้าวมากมายที่ต้องคบค้าเป็นมิตรสหาย เขามีน้ำตามากมายที่ต้องบังคับให้รินย้อนเข้ามาสู่ภายในหัวใจ
เนื่องจากว่าเขาเป็นเพียงคนปลายแถว ผลึกน้ำตาของเขาจึงย่อมมิใช่ผลึกวาวใสอันทอแสงเฉิดฉายอยู่บนฟ้าสูงดั่งผลึกน้ำตาของวีรบุรุษ

คนบางคนเกิดมาเพื่อที่จะปวดร้าวตลอดชั่วชีวิต เขาเป็นเพียงคนปลายแถว เป็นคนที่ก้าวเดินเชื่องช้า เขามีคำถามให้ต้องครุ่นคิดไตร่ตรองมากมาย เขาไม่กล้าตัดสินใจรวดเร็วเพราะเขาเป็นคนมากเรื่องมากความ มากปัญหาที่ต้องพินิจพิเคราะห์ไตร่ตรอง
น้ำตาของคนบางคนคือผลึกวาวใสของดวงดาวบนฟ้า ผลึกน้ำตาของคนปลายแถว รินอยู่เงียบๆ ภายในตัวตนของเขา ไร้ผู้แลเห็น คนบางคนเกิดมาเพื่อที่จะปวดร้าวไปชั่วชีวิต คนบางคนยินดีเป็นเพียงคนปลายแถวตราบชั่วชีวิตของเขา
เขาเลือกที่จะเป็นคนปลายแถว

เรืองรอง  รุ่งรัศมี
1994

ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ กิ่งไผ่และดวงโคม หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 17-18 กันยายน 2537

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น