ค้นหาบทความ

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไฟฝันหรี่โรยกับกาลเวลา

บทกวี : สีอะคริลิค บนแคนวาส

สิบกว่าปีก่อนที่ธนาคารศรีนครสำนักงานใหญ่ตรงสวนมะลิ มีห้องสมุดศรีนครที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้บริการได้ เป็นห้องสมุดที่เงียบสงบและเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ ช่วงเวลานั้นการงานของข้าพเจ้ายังไม่มีอะไรแน่นอน มีเวลาว่างอยู่ค่อนข้างมาก จึงทำให้ใช้เวลากับการนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแห่งนั้นอยู่บ่อยๆ
ห้องสมุดตั้งอยู่บนชั้นห้าหรือชั้นหกของตึกก็จำไม่ได้แน่ชัดแล้ว ข้าพเจ้ามักใช้ช่วงเวลาสายๆ ของวันนั่งอ่านหนังสือเล่มหรือนิตยสารไปเงียบๆ ผู้คนที่มาใช้ห้องสมุดนี้มีไม่มาก จึงมีมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวให้เลือกนั่งได้อย่างสบาย พอหิวก็ขึ้นไปซื้ออาหารกินอีกชั้นหนึ่งของตึกเดียวกัน นอกห้องสมุดก็มีโทรศัพท์สาธารณะให้ใช้ นับว่าเป็นบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับพักผ่อนและอ่านหนังสือ ที่สำคัญคือ ไม่สิ้นเปลืองเงินทอง ห้องสมุดนั้นเปิดให้ใช้ฟรี มีเพียงค่าบัตรอาหารและค่ารถไปกลับเท่านั้นที่ต้องเสียเงิน ทั้งหนังสือก็ยืมไปอ่านที่บ้านได้อีกด้วย
ข้าพเจ้าวนเวียนไปใช้ห้องสมุดอยู่เป็นปี อ่านทั้งหนังสือภาษาไทยในห้องสมุดแผนกหนังสือไทย และอ่านหนังสือภาษาจีนจากห้องสมุดแผนกภาษาจีน
ธรรมดาห้องสมุดแผนกภาษาไทยก็มีคนใช้บริการไม่มากอยู่แล้ว ห้องสมุดแผนกภาษาจีนยิ่งเป็นห้องที่เงียบสงบ บางวันมีเพียงบรรณารักษ์และผู้อ่านอีกคนสองคนเท่านั้นที่นั่งกันอยู่เงียบๆ คนละมุม ดูเหมือนข้าพเจ้าจะเป็นคนอายุน้อยที่สุดที่ไปใช้ห้องสมุดแผนกภาษาจีน

ช่วงต้นทศวรรษที่ ๑๙๘๐ คนสนใจเรียนภาษาจีนอย่างจริงจังยังมีอยู่ไม่มาก ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายปิดกั้นของรัฐในช่วงก่อนหน้านั้น คนรู้ภาษาจีนระดับอ่านออกเขียนได้จำนวนหนึ่งคือผู้ที่อพยพมาจากจีนในช่วงสงคราม อีกส่วนหนึ่งเป็นลูกหลานจีนที่เรียนรู้ภาษาจีนนอกระบบการศึกษาปกติ
เวลานั้นแม้จะมีโรงเรียนประถมอยู่หลายแห่งที่สอนภาษาจีน แต่ก็เป็นการสอนนอกเวลาเรียนปกติ อีกทั้งทางการก็ยังอนุญาตให้เปิดสอนแต่เพียงระดับนักเรียนประถมต้น ภาษาจีนสำหรับเด็กๆ ในสภาวะเช่นนั้นถือเป็นยาขมหม้อใหญ่ ความรู้กระท่อนกระแท่นที่รับมาภายหลังจากภาวะร่างกายและสมองที่เหนื่อยล้ากับการเรียนมาทั้งวัน จึงหล่นหายไปตามรายทางอย่างรวดเร็ว
ไม่แปลกเลยที่หลายคนเขียนไม่ได้แม้กระทั่งชื่อภาษาจีนของตนเอง ภายหลังออกมาจากโรงเรียนมาเพียงไม่กี่ปี ข้าพเจ้าเองที่สามารถอ่านภาษาจีนได้ในช่วงนั้นเพราะได้ไปเริ่มต้นเรียนใหม่อย่างจริงจังเมื่อโตแล้ว
หลังจากเรียนภาษาจีนพออ่านออกเขียนได้ ความมุ่งมาดปรารถนาอยู่ในใจลึกๆ อย่างหนึ่งคือ อยากศึกษาวรรณกรรมจีนในประเทศไทย

ก่อนจะอ่านภาษาจีนได้รู้เรื่องด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าเคยได้รับรู้ผ่านข้อมูลภาษาไทยว่า มีสายวรรณกรรมอีกสายหนึ่งในประเทศไทย เป็นวรรณกรรมที่เขียนด้วยภาษาจีน โดยคนเขียนหนังสือที่อยู่ในเมืองไทย ทั้งเรื่องราวที่เขียนก็เป็นเรื่องของชีวิตในเมืองไทย นอกจากนี้ยังมีนักแปลท่านหนึ่งที่ทุ่มเทพลังกายพลังใจแปลวรรณกรรมไทยออกเป็นภาษาจีนเผยแพร่ไปยังต่างประเทศ ถ้าความจำของข้าพเจ้าไม่คลาดเคลื่อน เขาชื่อ วิวัฒน์ รุ่งวรรธนวงศ์ (ถ้าความจำของข้าพเจ้าคลาดเคลื่อนก็ขอภัยด้วย และหวังว่าท่านผู้รู้จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องมาด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง) ดูเหมือนจะเคยอ่านบทความที่เขียนถึงคุณวิวัฒน์ในหน้าวรรณกรรมของนิตยสาร แมนซึ่งคึกคักอยู่เมื่อช่วงสิบกว่าปีก่อน
ที่ห้องสมุดภาษาจีนของธนาคารศรีนครสำนักงานใหญ่นี้เองที่ข้าพเจ้าได้อ่านวรรณกรรมจีนในประเทศไทยอยู่หลายเล่ม น่าเสียดายที่ชีวิตของข้าพเจ้าไม่ราบรื่น ต้องย้ายที่อยู่ไปมาอยู่หลายแห่ง สมุดบันทึกที่จดข้อความจากการอ่านหนังสือในห้องสมุดได้สูญหายไปกับการย้ายบ้านครั้งแล้วครั้งเล่านั่นเอง
นอกจากวรรณกรรมที่เขียนด้วยภาษาจีนแล้ว ยังมีงานภาษาจีนที่แปลจากวรรณกรรมไทยอีกจำนวนหนึ่ง เล่มหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังนึกเค้าออกได้รางๆ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิต ในจำนวนนั้นมีเรื่องสั้นของเจญ เจตนธรรม และเรื่องสั้นชื่อ พบศรีประชาที่ปักกิ่งรวมอยู่ด้วย ข้าพเจ้านั่งอ่านวรรณกรรมทั้งที่แปลจากภาษาไทยและที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจีนด้วยความตื่นตาตื่นใจ และแอบตั้งความหวังว่าคงได้มีโอกาสศึกษาวรรณกรรมสายนี้ กระทั่งสามารถแปลออกเผยแพร่เป็นภาษาไทยในโอกาสหนึ่งโอกาสใด

ในวัยสามสิบต้นๆ ข้าพเจ้าเคยฝันสวยขนาดว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะมีสาขาวิชาประวัติวรรณกรรมภาษาจีนในประเทศไทยเปิดสอนในมหาวิทยาลัย
ผู้เยาว์วัยที่ภาระรับผิดชอบยังไม่มากมักจะฝันได้สวยงามเช่นนี้เสมอ แต่วันเวลาที่นั่งอ่านหนังสืออย่างสงบและตั้งความฝันสวยงามของข้าพเจ้าก็เริ่มถูกสำนึกความรับผิดชอบต่อรายรับรายจ่ายของตนเองรบกวน กระทั่งไม่สามารถนั่งนิ่งเพื่ออ่านหนังสือในห้องสมุดอย่างยาวนาน
ช่วงทศวรรษที่ ๑๙๘๐ นักเขียนงานแปลที่เกี่ยวข้องกับจีนได้ขาดช่วงไปจากแวดวงหนังสือไทยเป็นระยะเวลาหนึ่ง ผลงานเก่าๆ ไม่ได้รับการตีพิมพ์ใหม่ ผลงานใหม่ๆ ไม่มีใครสร้างออกมา ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนรู้ภาษาจีนระดับพื้นฐาน นามปากกาไม่เป็นที่ยอมรับเชื่อถือ ชื่อขายไม่ได้ แม้จะพยายามแปลวรรณกรรมสมัยใหม่จากภาษาจีนออกมาบ้าง แต่ก็ได้รับการตีพิมพ์น้อยเต็มที
ความมุ่งมั่นจากการนั่งอ่านนั่งจดหนังสือภาษาจีนต่างๆ จากห้องสมุดภาษาจีนจากธนาคารศรีนครค่อยๆ กลายเป็นความร้อนรนลังเล นานวันเข้าข้าพเจ้าเริ่มจมอยู่ในความหม่นหมอง ตั้งคำถามและเย้ยหยันตัวเองว่าจะเอากำลังที่ไหนไปหาญแบกรับภารกิจที่ตั้งไว้เลิศลอยนี้ได้
เพียงแค่คิดแปลเรื่องสั้นบางเรื่อง ข้าพเจ้าในเวลานั้นยังไม่สามารถผ่านอุปสรรคด้านภาษาจีนที่ปนคำแต้จิ๋วเข้าไว้ในประโยคได้เลย จะตั้งความหวังไว้สูงๆ ได้อย่างไรกัน บางครั้งเรื่องที่แปลร่วมสมัยของไต้หวันออกมา ก็พบคำปฏิเสธของบรรณาธิการนิตยสารว่าคนอ่านเขาไม่รู้จัก

ค่าเรื่องที่ได้น้อยนิดทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถทำตัวเป็นนักเขียนนักแปลอิสระได้อย่างสะดวกใจ ความมุ่งมั่นต่อวรรณกรรมภาษาจีนในประเทศไทยค่อยๆ เฉื่อยชาลง พร้อมๆ กับที่พบว่า พื้นฐานความรู้ทางภาษาและความเข้าใจทางวัฒนธรรมจีนของตนเองยังอ่อนด้อยอย่างยิ่ง ความจำเป็นทางการเงินทำให้ข้าพเจ้าหันรีหันขวาง ความอ่อนด้อยทางความรู้และภาษาทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดคับข้อง ข้าพเจ้าหาลู่ทางสร้างรายได้ไปตามสภาพความเป็นไปได้ของตนในเวลานั้น รับจ้างทำหนังสือไป อ่านและแปลตามมีตามเกิด ชีวิตยุ่งเหยิงพัลวันอยู่อย่างนี้  จนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าพบว่าตนเองเลิกอ่านงานวรรณกรรมภาษาจีนในประเทศไทยที่ห้องสมุดธนาคารศรีนครอีกแล้ว อีกทั้งความฝันสวยงามที่เกี่ยวกับวิชาประวัติวรรณกรรมภาษาจีนในประเทศไทยก็เป็นเพียงฟองอากาศที่แตกสลายไปโดยข้าพเจ้าไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
บางครั้งที่ไปเดินดูหนังสือจีนแถวเยาวราช ข้าพเจ้าพบหนังสือวรรณกรรมภาษาจีนในประเทศไทยเล่มใหม่ๆ วางขายอยู่บนชั้นหนังสือ ข้าพเจ้าพบว่าตนเองมิได้กระตือรือร้นที่จะซื้อหามาเก็บสะสมไว้ทุกเล่มดังเช่นครั้งก่อน จะเพราะว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้นแล้วจะฝันน้อยลงหรือเพราะยอมรับกับสภาพความเป็นจริงตรงหน้า หรือเพราะว่าข้าพเจ้าเหนื่อยล้าเกินไปก็ไม่รู้ได้

ความมุ่งมั่นที่ลดลงไปแล้วเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ไฟฝันของชีวิตอ่อนล้า และข้าพเจ้าร่วงโรยสู่วัยชราเสียแล้วกระมัง
ข้าพเจ้ายังอยู่ในช่วงต้นวัยสี่สิบอยู่เลย ไฉนจึงรู้สึกชราอ่อนล้าถึงเพียงนี้แล้ว
ไฟฝันหรี่โรยเต็มที เพียงลมอ่อนๆ พัดมาก็พร้อมจะดับ ข้าพเจ้าจะทำสิ่งใดได้อีกเพียงไหน


เรืองรอง  รุ่งรัศมี


พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในหนังสือ มังกรซ่อนลาย แพรวสำนักพิมพ์ พ.ศ.2541

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น