ค้นหาบทความ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เพลงเรือของจิตรกร


พู่กันแตะสีบนจานสีเก่าคร่ำเหมือนไม่ต้องใช้ความครุ่นคิดพิจารณา ครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายพู่กันสะบัดเบาๆ สีหยดลงไปบนกระดาษเป็นดอกเป็นดวง กระดาษเริ่มพราวด้วยสี เป็นหยาด เป็นแต้ม เป็นรอย เรายังอ่านไม่ออกว่าสีเหล่านี้จะก่อตัวเป็นรูปเช่นไร
สีบนจานสีเหล็กดูเก่าเกรอะกรัง ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อพู่กันชุ่มน้ำแตะแต้มลงไป กลุ่มสีที่ปรากฏบนกระดาษกลับสะอาดสดใส จานสีเหล็กเก่าคร่ำและบรรดาสีที่บีบไว้เหมือนเลอะเทอะนั้นเปล่งอานุภาพของมัน มือของผู้อาวุโสเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ สะบัดธงสีเหลืองพลิ้วไปตามแรงลม เค้าโครงของกลุ่มเรือเริ่มปรากฏทีละน้อยๆ
เมื่อเส้นถูกเติมเพิ่มมากเข้าจากปลายพู่กัน ภาพบนกระดาษก็เหมือนงอกงามขึ้นมาเอง เหมือนจะไม่ใช่การวาดรูปอีกแล้ว หากแต่เรือบนกระดาษกำลังก่อตัวขึ้นมา เสา ประทุน กราบเรือ เคลื่อนไหว กลุ่มเรือตรงเบื้องหน้าบางลำไปจากที่เดิม เรือบนกระดาษเคลื่อนไหวตัวเอง เป็นเรือที่มิได้ลอยลำอยู่แน่นิ่ง หากแต่เคลื่อนไหวได้เหมือนผืนน้ำตรงนั้นมีคลื่นโยนเรือไปมา

ผมตั้งชื่อภาพนี้ว่าเพลงเรือ
ผู้อาวุโสบอก เพลงเรือของผู้อาวุโสมิใช่บทเพลงแห่งความเปลี่ยวเหงา หากแต่คือเพลงชีวิตอันมีพลัง
กลุ่มเรือลอยลำสง่าอยู่บนกระดาษขณะคล้อยสนธยา ภาพของชายอาวุโสที่ยืนโยนสายเบ็ดโดยไม่ใช้คันเบ็ดเมื่อตอนกลางวัน ไม่ใช่ชายที่เปลี่ยวเหงาในความรู้สึกอีกต่อไป
สีสันและเส้นสายที่เหมือนยุ่งเหยิงวางจังหวะตัวเองอย่างเหมาะสม เสมือนตัวโน๊ตแต่ละตัวเกาะเกี่ยวร้อยเป็นบทเพลง
เหมือนการแต่งเพลงที่เริ่มจากโน้ตตัวหนึ่ง แล้วอีกตัวหนึ่ง อย่างช้าๆ ตัวโน๊ตค่อยๆ สอดประสานกัน ภาพเรือของผู้อาวุโสก็เป็นเช่นนี้ ไหลรินออกมาปรากฏตัวเองบนแผ่นกระดาษ แล้วเพลงเรือนั้นก็เปล่งท่วงทำนองไพเราะออกมา

ภาพที่เขียนเสร็จแล้วถูกนำมาวางเรียงกันทีละรูป ทีละรูป วันเวลาที่ชายอาวุโสผู้นี้เรียนรู้ จากทะเลมิใช่เพียงสีของน้ำ การสั่นระริกของสายเบ็ด การโยนตัวของเรือ ความเปลี่ยนแปลงของเมฆ และสีของฟ้า ความพลิ้วสะบัดของสายลม ผืนน้ำใสกระจ่าง เมฆยามลมฝนกรรโชก สะพานปลาที่ทอดตัวอยู่โดดเดี่ยว สายตาที่เพ่งมอง ฤดูกาลและความเป็นไปของชีวิตเหล่านี้ค่อยๆ ผ่านเข้าสู่ชีวิตกับวันเวลา
ผ่านการเขียนภาพ ผ่านสายเบ็ด ผ่านปลายพู่กัน ผ่านสายลมแรง ผ่านแสงแดดกล้า ผ่านการเรียนรู้ครุ่นคิด ชายอาวุโสที่ไม่มีมาดผิดแปลกจากผู้คนสามัญธรรมดาสามัญทั่วไป มีความสงบ มีความเคลื่อนไหว มีความผ่อนคลาย มีความจริงจัง มีความธรรมดาในความไม่ธรรมดา และมีความไม่ธรรมดาในความธรรมดาสามัญ ทะเลของเขาบอกเล่าเรื่องราวมากมายให้ตามเรียนรู้ค้นหา
ค่ำคืน ท้องทะเลก็เปลี่ยนไปอีก เรือเหล็กลำโตที่ทอดสมออยู่กลืนหายไปในความมืด กลายเป็นกลุ่มแสงสว่างเรื่อเรืองลิบๆ เหมือนเส้นขอบฟ้าขึงด้วยกลุ่มดาวสีทอง เมื่อหรี่ตามอง ลำแสงนั้นก็พุ่งเป็นลำ งดงาม ลึกลับและมีเสน่ห์ชวนค้นหา

มิติลึกล้ำบางอย่างของชีวิตเริ่มแสดงตัวบนกระดาษอีกครั้ง จากเส้นที่ร่างบนกระดาษอย่างรวดเร็ว พู่กันชุ่มน้ำแตะสีและปาดระบาย กระดาษขาวเริ่มเผยมุมหนึ่งของโลก สีอันชวนให้ฉงนค้นหาชวนให้ชีวิตเดินทางตามติดสู่ท้องทะเลมืด กลุ่มดาวสีทองตรงเส้นขอบฟ้านั้นคือแสงฝันอันอยู่แสนไกลใช่ไหม
ในความมืดนั้น สำเภาดวงดาวลอยโดดเด่นลำหนึ่ง เหมือนว่าอยู่ใกล้ และก็เหมือนอยู่แสนไกล ล่องลอย โดดเดี่ยว เย้ายวน ชักชวนและรอคอย

ท่องไปในคืนมืดบนสำเภาดวงดาวนั้นช่างเปล่าเปลี่ยว แต่เราก็เพียรที่จะโดยสารสำเภาดวงดาวลำนี้ กลางท้องทะเลดำเวิ้งว้าง สิ่งใดหนอที่ทำให้เราเหมือนถูกดึงดูดสู่ความเปล่าเปลี่ยวนี้ด้วยความรู้สึกยินดี เป็นความเอิบอิ่มในความอ้างว้าง เป็นการเลือกที่เหมือนกับไม่อาจต้านทานขัดขืน
ล่องไปเดียวดายกลางทะเลในสำเภาดวงดาว สง่า ทระนง เอิบอิ่ม อ้างว้าง ว่าเปล่า
สำเภาดวงดาวลอยตัวลิบๆ ตรงนั้น แสงฝันตรงเส้นขอบฟ้าพร่างพราวหนาวเหน็บในความฝัน หรือว่าอบอุ่นในความฝันใฝ่ ผู้ใดแยกแยะมันได้ชัดเจน
สำเภาดวงดาวลอยตัวลิบๆ อยู่ในค่ำคืน ทะเลนั้นช่างกว้างใหญ่ แสงฝันตรงเส้นขอบฟ้าพร่างพราย
แสงฟ้าพร่างพราวของผู้อาวุโสบรรเลงเพลงลึกลับ หากแต่อบอุ่นอ่อนโยน เหตุใดหนอสำเภาดวงดาวของข้าพเจ้าจึงช่างอ้างว้าง และทะเลมืดจึงช่างเปล่าเปลี่ยว


เรืองรอง  รุ่งรัศมี


พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในหนังสือ มังกรซ่อนลาย แพรวสำนักพิมพ์ พ.ศ.2541

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น