ค้นหาบทความ

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พินัยกรรมฉบับหนึ่ง


กลุ่มมิตรสหายของเราเรียกท่านว่า “คุณพ่อ” ด้วยความสนิทสนมและคุ้นเคย ดูเหมือนคนหนึ่งในกลุ่มของเราซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาวของท่านจะเรียกท่านอย่างนี้ แล้วเราก็พากันเรียก “คุณพ่อ” ตามเขาต่อมา
และคุณพ่อก็เป็นคุณพ่อของลูกๆ เช่นพวกเรา เต็มตามความหมายและความรู้สึกของทั้งเราและท่านตลอดมา
คุณพ่อไม่ได้เป็นนักบวช ท่านเป็นฆราวาสที่ครองเรือนด้วยความรักความอบอุ่นอย่างชาวพุทธแท้ เราพากันมาเป็นลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่ครอบครัวนี้ ภายหลังท่านสูญเสียลูกสาวซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของเรา เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ลูกๆ แต่ละคนเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่ห่ามและคะนอง เป็นคนย่างเข้าสู่วัยกลางคนที่มีบาดแผลริ้วรอย คุณพ่อคุณแม่ชราและอ่อนแรงไปตามวัยด้วยเช่นกัน
แต่เรายังคงรักนับถือท่านเป็นคุณพ่อ คุณแม่ และท่านก็ผูกพันรักใคร่พวกเราเป็นลูกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

หลายเดือนที่แล้วคุณพ่อโทรศัพท์มาหา น้ำเสียงของท่านยังคงแสดงออกถึงความผูกพันเอาใจใส่ในตัวลูกๆ อย่างเดิม ข้าพเจ้ามักรู้สึกผิดที่ไม่ค่อยได้โทรศัพท์ไปพูดคุย และไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมเยียนคุณพ่อที่บ้าน นานๆ ครั้งจึงจะนัดแนะกับเพื่อนเพื่อไปเยี่ยมท่านที่บ้านสักครั้ง ครั้งนั้นคุณพ่อดีใจมาก ท่านพูดคุยถึงชีวิตและงานการของเรา นอกจากจะบ่นว่าท่านแก่ตัวไปมาก และสุขภาพก็ไม่แข็งแรงเหมือนเก่าแล้ว คุณพ่อได้เล่าถึงงานหนังสือที่ท่านกลับมาทำอีกครั้งหนึ่ง ในเวลาที่สุกงอมกับความคิดและชีวิตเต็มที่แล้ว

คุณพ่อเคยเขียนหนังสือและแปลหนังสือเมื่อครั้งวัยหนุ่ม ท่านเคยเล่าถึงมิตรสหายในแวดวงหนังสือให้เราฟังเป็นบางครั้ง แต่ท่านก็มักจะเล่าข้ามส่วนที่เป็นตัวท่านและผลงานหนังสือของท่านไป
มิตรสหายคนหนึ่งของคุณพ่อ คือ จิตร ภูมิศักดิ์ อีกท่านหนึ่งคือ ทวีป วรดิลก ซึ่งเป็นมิตรสหายของจิตร ภูมิศักดิ์ เช่นกัน คุณพ่อไม่ค่อยจะพูดถึงคุณจิตร ภูมิศักดิ์ บ่อยนัก ท่านคงเกรงว่าจะเป็นการอวดอ้างตนว่ารู้จักสนิทสนมกับคนเก่งที่มีชื่อเสียงมากๆ อย่างจิตร ภูมิศักดิ์ ลักษณะถ่อมตนอย่างจริงใจนี้เป็นธรรมชาติในบุคลิกของคุณพ่อ เรารู้ว่าคุณพ่อสนิทสนมกับจิตร ภูมิศักดิ์ รู้มาว่าในช่วงหนึ่งของชีวิต จิตร ภูมิศักดิ์ เคยเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์โดยเรือเดินสมุทร เรารู้ว่าคุณพ่อมีอาชีพเป็นกัปตันเรือเดินสมุทร จากครั้งวัยหนุ่มจวบจนเกษียณจากงาน อีกทั้งผู้คนในแวดวงหนังสือหลายคนก็เล่าให้ฟังว่า จิตร ภูมิศักดิ์ มีเพื่อนเป็นกัปตันเรือ
ชื่อของจิตร ภูมิศักดิ์ กลายเป็นชื่อที่น่าทึ่งและเร้าความสนใจของเราอย่างยิ่ง ในช่วงกระแสความรับผิดชอบต่อสังคมของปัญญาชนสูงเมื่อช่วงยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เวลานั้นเองที่พวกเราต่างเป็นเด็กหนุ่มคะนอง และเป็นช่วงเวลาที่พวกเรากระหายใคร่รู้ในเรื่องต่างๆ ตามวัย เราพากันเข้าร่วมในกิจกรรมทางสังคม ไปฟังอภิปราย ไปเดินขบวน ไปดูหนังเรื่องต่างๆ แล้วนำมาถกเถียงพูดคุย หลายคนในกลุ่มของเราเริ่มฝึกฝนการเขียนหนังสือ และทุกคนในกลุ่มของเราต่างก็กระหายในการอ่านหนังสือนอกห้องเรียน เรามักนำเรื่องราวต่างๆ ที่เราไปพบไปทำมาเล่าให้คุณพ่อฟัง

บ้านของคุณพ่อมีหนังสือต่างๆ ตั้งแต่ช่วงก่อน พ.ศ.2500 เก็บเอาไว้มาก นอกจากหนังสือแนววรรณกรรมที่พวกเราชอบอ่านแล้ว คุณพ่อยังมีหนังสือด้านสังคมศาสตร์ แนวคิดทางปรัชญา และหนังสือที่ให้ความรู้ด้านพุทธศาสนาเก็บเอาไว้มาก พวกเราชอบหยิบยืมหนังสือของคุณพ่อไปอ่าน เรายืมหนังสือของคุณพ่อครั้งละนานๆ บ่อยครั้งนานจนหนังสือหายหรือลืมนำมาคืนก็เคย แต่คุณพ่อก็ไม่เคยบ่นหรือตำหนิพวกเรา ตรงกันข้ามบ่อยครั้งที่คุณพ่อมอบหนังสือเล่มที่คุณพ่อมีซ้ำให้กับพวกเรา
ตู้หนังสือที่บ้านคุณพ่อมีหนังสือของท่านพุทธทาสอยู่มาก นอกจากจะศึกษาด้วยการอ่านแล้ว คุณพ่อยังปฏิบัติตนเยี่ยงชาวพุทธ ที่แท้ท่านครองตนเป็นแบบอย่างที่ดี แต่แม้คุณพ่อจะครองตนด้วยศีลด้วยธรรม ท่านก็ใจกว้าง เข้าใจธรรมชาติของช่วงวัยคะนองของลูกๆ ได้ดี

เรามักนัดกันไปให้คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงข้าวที่บ้านในช่วงวันหยุด อิ่มข้าวอิ่มขนมแล้ว เราพากันไปค้นตู้หนังสือของคุณพ่อ จากนั้นพูดคุยเรื่องต่างๆ กับคุณพ่อคุณแม่บ้าง คุยโม้ และถกเถียงกันเองเอะอะโวยวายบ้าง พอเย็นย่ำเราก็ลากลับ มีขนมบ้าง หนังสือบ้าง ติดมือไปด้วย
แต่ลากลับแล้ว เราไปกินเหล้าเมายากันอยู่เสมอๆ โดยกลับไม่ถึงบ้านพักตนเอง ข้าพเจ้าคาดว่าคุณพ่อเองก็น่าจะรู้อยู่ในใจว่า ลูกๆ วัยคะนองกลุ่มนี้มิได้เป็นเด็กดีหรือเรียบร้อยอย่างที่อยู่ต่อหน้าคุณพ่อ ดูเหมือนช่วงนั้นเราทุกคนในกลุ่มจะติดบุหรี่ เมาเหล้า เมาเบียร์ เป็นเรื่องประจำ มีเพียงกัญชาเท่านั้นที่เราปกปิดไม่ให้คุณพ่อรู้ว่า พวกเราก็เสพมันบ่อยๆ
คุณพ่อคุณแม่มักจะเตือนสติพวกเราด้วยความอ่อนโยน แต่แม้กระนั้นเพื่อนบางคนในกลุ่มของเราก็ยังเตลิดไปตามจิตใจอ่อนแอ แม้จนบัดนี้

หลัง 6 ตุลาคม 2519 ปัญญาชนนักศึกษาหลบหนีซ่อนตัวจากสังคมและมหาวิทยาลัย บางคนในกลุ่มของเราเข้าป่า ส่วนใหญ่เตลิดหลบซ่อนตัวตามที่ต่างๆ กลุ่มของเรากระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง พวกเราไม่ค่อยได้ติดต่อกับคุณพ่ออีกหลังจากนั้น
คุณพ่อคุณแม่ยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสมถะเหมือนเดิม พวกเราหายกันไปคนละหลายๆ ปี นานๆ ครั้งจะมีใครสักคนไปเยี่ยมคุณพ่อ พร้อมทั้งฟ้องให้ฟังว่าลูกคนนั้นกำลังทำตัวเละเทะเหลวไหล คนนี้เลอะเทอะเลยเถิดไปใหญ่แล้ว เรามาปรับทุกข์ให้คุณพ่อฟัง มาระบายความอึดอัดคับข้องของเรา คุณพ่อรับฟังด้วยความเป็นห่วงทุกครั้ง เราสัมผัสได้ถึงความรัก ความอบอุ่นผูกพันทุกครั้งที่ไปหาคุณพ่อ ไม่ว่าสังคมจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าภาวะชีวิตของเราและคุณพ่อจะเป็นเช่นไร คุณพ่อก็เป็นคุณพ่อคนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จนไม่กี่ปีหลังนี้เองที่เราไปติดต่อคุณพ่อบ่อยครั้งขึ้น แต่บ่อยครั้งของเราคือปีละไม่กี่ครั้ง คุณพ่อดีใจทุกครั้งที่พวกเราไปเยี่ยมหรือโทรศัพท์ไปพูดคุย แต่พวกเราก็ช่างบกพร่องเหลือเกิน อ้างโน่น อ้างนี่ จนลืมครั้งละนานๆ

ครั้งหลังๆ ที่ไปเยี่ยมคุณพ่อ ดูเหมือนจะหลายเดือนแล้ว คุณพ่อตัดเก็บบทความที่เห็นว่าเราได้ควรอ่านไว้ให้ ให้กำลังใจด้วยการพูดถึงงานเขียนในกรอบหน้าของข้าพเจ้า คุณพ่อพูดด้วยอารมณ์ดีว่า คุณพ่อก็กลับมาเขียนหนังสือแล้วเหมือนกันนะ จากนั้นก็ไปค้นหนังสือที่ท่านเรียบเรียงมาเซ็นมอบให้ เราไปดูที่โต๊ะหนังสือ เห็นต้นฉบับลายมืออีกปึกหนึ่งวางอยู่ คุณพ่อกำลังเรียบเรียงหนังสือที่ท่านตั้งชื่อคร่าวๆ ไว้ว่า “ธรรมนิยม” ซึ่งเป็นผลงานชิ้นที่ท่านผูกพันมาก
คุณพ่อศึกษาความคิดทางสังคม และปรัชญาต่างๆ มาเป็นเวลาเนิ่นนาน ท่านบอกด้วยความสุขกับข้าพเจ้าว่า ธรรมนิยมคือคำตอบที่น่าจะมีประโยชน์ต่อผู้คนในทัศนะของท่าน หลังจากศึกษาค้นคว้าทั้งทุนนิยม สังคมนิยม และปรัชญาศาสนาต่างๆ มากมาย คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ให้คำตอบกับตนเองได้อย่างหนักแน่นแล้วในวัยสนธยาของชีวิต
มือเย็นวันนั้นคุณพ่อชวนไปเลี้ยงข้าวนอกบ้าน และยังเอ่ยปากให้ข้าพเจ้าและเพื่อนสั่งเบียร์มาดื่ม แม้ว่าจะเป็นชาวพุทธที่แท้ แต่คุณพ่อก็ไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าตนผิดรุนแรงกับการดื่มเหล้าดื่มเบียร์ต่อหน้าคุณพ่อ ท่านยอมรับในความเป็นโลกียชนที่ยังเป็นเหมือนผลไม้ดิบของเรา ท่านเพียงแต่ให้สติและรอคอยให้ผลไม้ดิบเช่นเราสุกงอมตามความควรเป็นของเราเอง

คุณพ่อเป็นชาวพุทธที่คุณธรรมและดวงปัญญาตลอดยี่สิบกว่าปีที่เราไปมาหาสู่คุณพ่อ นอกจากข้อคิดและหนังสือต่างๆ ที่คุณพ่อมอบให้สม่ำเสมอแล้ว ของขวัญสิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือ ใบโพธิ์จากพุทธคยา วันนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนไปเยี่ยมคุณพ่อด้วยกัน คุณพ่อนำใบโพธิ์จากพุทธคยามามอบให้เราคนละใบ
หลังๆ มานี้สุขภาพของคุณพ่อไม่แข็งแรง แต่คุณพ่อก็ยังแจ่มใสร่าเริง ข้าพเจ้าพบกันคุณพ่อช่วงที่เราต่างเดินทางไปที่สวนโมกข์เมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นโทรศัพท์ไปพูดคุยและนัดกินข้าวกับคุณพ่ออีกไม่กี่ครั้ง มารับรู้ข่าวว่าคุณพ่อจากไปด้วยโรคหัวใจ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายนนี้
คุณพ่อเป็นคนที่มีทั้งสติและปัญญาถึงพร้อม แม้ยามเจ็บป่วย ท่านจึงร่างพินัยกรรมคำสั่งของท่านด้วยลายมือของท่านเอง เป็นพินัยกรรมที่แสดงความเป็นคนอย่างคุณพ่ออย่างแท้จริง คนที่ไปงานสวดพระอภิธรรมของคุณพ่อต่างก็ยืนอ่านพินัยกรรมนี้ด้วยความทึ่ง และเคารพในความเป็นคุณพ่อที่น่านับถือ


พินัยกรรมคำสั่งเสียของคุณพ่อมีข้อความดังต่อไปนี้

 _______________________________________________

พินัยกรรมคำสั่งก่อนตายและหลังตาย
ของนายอรุณ  แสงทอง
ทำขึ้น ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2539

1)      เมื่อเจ็บหนักจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล
 1.1  ไม่ขอเข้าพักรักษาตัวในห้อง I.C.U.
 1.2  เมื่อหัวใจหยุดเต้นแล้ว ขอห้ามไม่ให้ปั๊มหัวใจ
 1.3  ขอไม่ใช้เครื่องมือแพทย์ไฮ-เทคเพื่อยืดความตาย (prolong death)
2)      เมื่อถึงแก่กรรมแล้ว
2.1 ให้ติดต่อทางราชการตามระเบียบ และนำศพอุทิศโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อศึกษาทางการแพทย์ (เอกสารการติดต่อกับ ร.พ.อยู่ในตู้คุณยาย)
2.2 แต่งตัวศพด้วยชุดพระราชทานสีขาว, ถุงเท้าดำ
2.3 ไม่ต้องมีพิธีรดน้ำศพ
2.4 ไม่ต้องขอซากศพมาทำพิธีอะไรอีก ให้โรงพยาบาลทำลายไปเลย
3)      กิจกรรมในส่วนของครอบครัวหลังจากตายไปแล้ว
3.1 ไม่ต้องไว้ทุกข์
3.2 ให้ทำบุญเลี้ยงพระที่เรียกว่าทำบุญ 7 วัน ตามธรรมเนียมประเพณี เพื่อรักษาวัฒนธรรมแห่งความรักและความผูกพันของสังคมไทย
3.3 ในการทำบุญ 7 วัน ให้ประกาศแจ้งในหน้าหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ เป็นการล่วงหน้า 5 วัน
3.4 ญาติมิตรที่มาร่วมทำบุญ 7 วัน ผู้ใดจะบริจาคทรัพย์ร่วมทำบุญด้วยให้รวบรวมเงินก้อนนี้สมทบทุนบุญนิธิในมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ (ผชป.)
3.5 ถ้าเป็นไปได้ การทำบุญ 7 วัน ให้กระทำพิธี ณ วัดชลประทานรังสฤษฎ์
  _______________________________________________


คุณพ่อได้จากไปแล้ว ฝากพินัยกรรมอย่างชาวพุทธที่แท้และต้นฉบับงานเขียนเรียบเรียงเชิงพุทธศาสนาไว้เตือนสติผู้อื่นต่อไป
คุณพ่อทำตัวเป็นผู้ให้ ทั้งในสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม แม้จนในเวลาสุดท้ายของชีวิต



เรืองรอง  รุ่งรัศมี



พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ กิ่งไผ่และดวงโคม ผู้จัดการรายวัน 14-15 กันยายน พ.ศ.2539

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น