ค้นหาบทความ

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บนเส้นทาง เจิ้ง สือ เผย

บนเส้นทาง
เจิ้ง สือ เผย

          หิมะตกโปรยปรายในทุ่งรกร้าง และดูขาวโพลนสุดสายตา แยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นทางตรง ไหนเป็นร่องหลุม มานพหนุ่มวัย 16 นาม ชิงซง เร่งรีบเดินทาง กระบี่ชำระแค้นในมือเต็มไปด้วยลิ่มน้ำแข็ง นั่นคือกระบี่ซึ่งบิดาที่เพิ่งสิ้นใจมอบต่อให้แก่เขา บิดาพูดว่า เจ้าต้องไปฆ่าสตรีนางนั้น จากนั้นอาศัย 'เพลงกระบี่ชำระแค้น' ครองความเป็นเจ้ายุทธจักร
            ฝีก้าวไร้สุ้มเสียง ฝีเท้าไร้ร่องรอย วิทยายุทธ์ของชิงซงสูงล้ำ ท่วงท่าสงบราวเดินทางไปเยี่ยมญาติ แท้จริงแล้ว จิตใจของชิงซงวุ่นวายอย่างยิ่ง เขาคิดจินตนาการถึงสตรีคนที่บิดาวาดบรรยายให้เขาฟังครั้งแล้วครั้งเล่า สตรีที่โหดเหี้ยมอำมหิตคนนั้น บิดาพูดว่าครั้งก่อนเก่านั้น สตรีนางนั้นหลอกเขาออกไปจากบ้าน โอบล้อมไว้ที่หาดเซียงซือวาน คิดจะสังหารบิดาให้ตาย หวังจะแย่งชิงกระบี่ชำระแค้นที่อยู่ในมือบิดาและตัวชิงซงที่ยังแบเบาะ
            บิดารู้ว่าหลงกลเสียแล้ว ใช้ 'เพลงกระบี่ชำระแค้น' ที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษตีฝ่าออกไปจากวงล้อม เพียงน่าเสียดายว่า ช้าไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว หญิงคนนั้นสั่งให้คนไปสังหารมารดาของชิงซงแย่งชิงเอาตัวชิงซงไป บิดาได้รับบาดเจ็บ อาศัยกระบี่เล่มเดียวบุกเข้าไปในคฤหาสน์ที่มีการคุ้มครองแน่นหนาของสตรีนางนั้น อุ้มเอาตัวชิงซงกลับมาหนีเข้าไปในขุนเขาป่าลึก 16 ปีแล้ว บิดารักษาอาการบาดเจ็บไปพลาง สอนวิทยายุทธ์แก่ชิงซงไปเพลง เพื่อว่าจะมีวันหนึ่งที่ชิงซงจะสามารถออกจากภูเขาไปล้าง แค้นให้กับมารดาที่ตายจากไป

            ไม่มีสิ่งใดสำคัญเสียยิ่งกว่าการแก้แค้น ชิงซงเดินทางทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน จนมาถึงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งโดยมิได้หยุดพัก พบเห็นผู้ที่ผ่านทางมาก็สอบถามถึงเส้นทางที่ไปยังเมืองฉวีโจว คนผ่านทางถอนใจคำหนึ่งพูดว่า
“ไปที่นั่นทำไม? ได้ข่าวว่าโจรปล้นสวาทเย่ซานหู่ออกจากเขาอีกแล้ว คราวนี้ไม่รู้ว่าใครต้องเคราะห์ร้ายอีก”
            ชิงซงยิ้มเยือกเย็น พูดว่า
“ท่านบอกทางข้าก็พอแล้ว”
            คนผ่านทางชี้มือไปทางทิศตะวันตกอย่างไม่เต็มใจ พูดว่า
“ข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึง”

ชิงซงกุมกระบี่ชำระแค้นไว้มั่น ก้าวเท้ารวดเร็วดังเหินบิน ไม่ทันถึงสองชั่วยาม เมืองฉวีโจวก็ปรากฏต่อเบื้องสายตาของชิงซง ขณะกำลังจะเข้าไปในเมือง ที่เชิงกำแพงเมือง พลันมีคนบ้าคนหนึ่งกระโจนขึ้นมากอดตัวชิงซง ร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดว่า
“ลูกเอ๋ย เจ้ากลับมาแล้ว ลูกเอ๋ยเจ้ากลับมาแล้ว”
            ชิงซงเห็นเป็นหญิงชราคนหนึ่ง อดโมโหเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้ มือค่อยๆ ยกสูงขึ้น ขณะกระบี่กำลังจะออกจากฝัก ตาเฒ่าคนหนึ่งยับยั้งชิงซงพูดว่า
“หญิงผู้นี้ช่างน่าสงสาร สิบกว่าปีมานี้ ไม่ว่าลมแรงหิมะตก นางก็รอคอยลูกของนางอยู่ที่นี่ คนอายุเพียง 30 กว่าปี แต่แก่เหมือนกับยายเฒ่าคนหนึ่ง นี่เป็นบาปกรรมที่เย่ซานหู่สร้างเอาไว้”
            เย่ซานหู่อีกแล้ว! ชิงซงเกรี้ยวโกรธอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ากลับเรียบเฉย ตาเฒ่าเห็นชิงซงไม่แสดงอารมณ์ ก็พูดต่อว่า
“16 ปีก่อน โจรปล้นสวาทเย่ซานหู่ หมายตาสุ่ยเหลียน สะใภ้สกุลเจิ้ง จะชิงตัวไปเป็นภริยา เวลานั้น สุ่ยเหลียนเพิ่งคลอดบุตรชายคนหนึ่ง ถูกคุกคามจนยากจะต้านทาน ได้แต่เชื้อเชิญให้ชาวยุทธ์ยื่นมือมาช่วยเหลือ คิดจะให้โอกาสนี้ขจัดเพทภัยครั้งนี้ออกไป คาดไม่ถึงว่ากลับถูกชิงตัวบุตรชาย เพิ่งฟังมาว่าโจรปล้นสวาทพาเด็กออกจากภูเขามาด้วย พบคนก็ฆ่าสังหารเลย”
            ขณะที่ตาเฒ่ากำลังเล่า มีเงาร่างหนึ่งโผเข้ามา ชิงซงฉากกายหลบ มือที่กุมกระบี่ชักขึ้นมาเบาๆ ประกายเย็นเยือกสายหนึ่งวาบผ่าน คมกระบี่วาดไปทางเงาร่างนั้น คนๆ นั้นล้มคว่ำลงบนพื้นในชั่วพริบตา ครู่หนึ่งโลหิตสดๆ ค่อยๆ อาบไปบนพื้นหิมะ ตาเฒ่าเซ่อซึมไปครึ่งค่อนวัน ร้องด้วยความตระหนกตกใจว่า
เพลงกระบี่หิมะชำระแค้น
            ที่ล้มลงบนพื้นเป็นมือสังหารผู้หนึ่ง ชิงซงไม่รู้ว่าทำไมมือสังหารจึงต้องการฆ่าเขา ได้ยินตาเฒ่าร้องเรียกชื่อเพลงกระบี่ออกมา คิดจะไถ่ถามให้รู้แน่ชัด ตาเฒ่าก็หนีไปไกลราวเหินไปเสียเนิ่นนานแล้ว ขณะที่ชิงซงกำลังจะไล่ตามไป หญิงบ้าคนนั้นกอดขาของเขาไว้แน่น ไม่ยอมคลายมือ ชิงซงเกิดอารมณ์ขึ้นมา หันคมกระบี่ไปทางหญิงบ้าโดยอัตโนมัติ หญิงบ้าล้มลงในทันใด โลหิตอีกผืนหนึ่งไหลแผ่ซ่านไปบนพื้น

            โดยไม่ลังเล ชิงซงเข้าเมืองไปเสาะหาสตรีใจดำอำมหิตนางนั้น หิมะหยุดตก ลมนิ่ง บนฟ้าในตัวเมืองฉวีโจว ควันไฟจากครัวลอยอ้อยอิ่ง ถึงเวลากินข้าวอีกแล้ว ชิงซงคิดอยู่ในใจว่าไม่เคยได้กินข้าวที่แม่ทำให้เลย ใจยิ่งเกลียดชังสตรีนางนั้น ฝีเท้าก็เร่งขึ้นอีกเล็กน้อย จับตัวใครได้ก็ถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า
“คฤหาสน์ตระกูลเจิ้งตั้งอยู่ที่ใจ?
            คนที่ถูกถามล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ท่านถามถึงทำไม? เดี๋ยวนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว”
พูดจบยังคงชี้ให้ชิงซงดูว่าควรไปทางไหน แล้วเลี้ยวอีกกี่เลี้ยว เดินไกลอีกเพียงไหนจึงจะถึงที่ตั้งเดิมของคฤหาสน์ตระกูลเจิ้ง

            ไปตามทิศทางที่ชี้บอก ในที่สุดชิงซงก็มาถึงหน้าบ้านตระกูลเจิ้ง เป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นลานบ้านที่บิดาบรรยายให้ฟังเสมอๆ ทำตามคำกำชับของบิดา หาบ้านหลังนี้พบ ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ บุกเข้าไปแล้วฆ่าให้เรียบ อย่าให้เหลือ จึงจะเป็นการชำระแค้น เพียงแต่ว่า บัดนี้ในลานบ้านว่างเปล่าไร้ผู้คนแม้แต่คนเดียว จะทำอย่างไรดี? ชิงซงได้แต่ร้องเรียกเพื่อนบ้านหนุ่มเพื่อถามไถ่สืบความ
            เพื่อนบ้านหนุ่มพูดว่า ครอบครัวนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ถูกโจรปล้นสวาทชิงเอาตัวลูกชายไป ตั้งแต่นั้นมาเริ่มตกต่ำทรุดโทรม เหลืออยู่เพียงหญิงบ้านางหนึ่ง นางเป็นมารดาของเด็กนั้น ทุกๆ วันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ไปรอคอยรับลูกอยู่ที่ประตูเมือง 16 ปีมาแล้ว ทำเช่นนี้ทุกวัน ที่จริงแล้วเวลานี้นางควรจะกลับมาแล้ว
            ชิงซงฟังเพื่อนบ้านพูดจบ ใจอดรู้สึกกระตุกไม่ได้ ดวงตาเหมือนจะมีอาการล้า ถามว่า
“นางมีชื่อว่ากระไร?
            คนหนุ่มพูดว่า
นางชื่อสุ่ยเหลียน เมื่อ 16 ปีก่อนถูกเย่ซานหู่ชิงเอาตัวลูกชายไป ก็เลยเป็นบ้าตั้งแต่วันนั้น
            ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้? ชิงซงค่อยๆ ทรุดนั่งลงบนพื้นหิมะ พูดพึมพำออกมาว่า
“ข้าจะคอยนางกลับบ้าน”

            จากยามพลบคล้อยไปจนดึก ชิงซงมิได้ขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย รุ่งเช้าเพื่อนบ้านมองเห็นชิงซงใบหน้าหมองคล้ำ มีเกล็ดหิมะจับ หัวร่อฮาฮา สลัดรองเท้าทิ้งไป มุ่งออกจากเมืองไปทางทิศตะวันออก
            หลังจากนั้นไม่กี่วัน มีเสียงเล่าว่ากระบี่หิมะชำระแค้นคืนสู่ยุทธจักร ที่แปลกประหลาดก็คือ เหล่าอิสตรีล้วนอยู่รอดปลอดภัย มีแต่พวกโจรขโมยที่ล้มตาย แน่นอนว่าข่าวลือไม่แน่ว่าจะเชื่อถือได้ แต่ทว่า เมืองฉวีโจวอยู่อย่างสงบสุขมาหลายสิบปี กลับเป็นเรื่องจริง

 เรืองรอง รุ่งรัศมี แปล
2007
 
พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ “ในยุทธจักร” เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 16 ฉบับที่ 793 วันที่ 10-16 ส.ค. 2550

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บัณฑิตจอมยุทธ์ เมี่ยว อี้ เผิง

บัณฑิตจอมยุทธ์
เมี่ยว อี้ เผิง

            จากครั้งอดีตตราบปัจจุบัน มีจอมยุทธ์อยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งคือจอมยุทธ์ฝ่ายบู๊ ประเภทที่สองคือ จอมยุทธ์ฝ่ายบุ๋น
            จอมยุทธ์ฝ่ายบู๊ กระทำการเพื่อคุณธรรม ขจัดคนพาล อภิบาลคนดี ต้องอาศัยความฮึกเหิมห้าวหาญ จอมยุทธ์ฝ่ายบุ๋น นั่นล่ะหรือ ซ่อนเข็มแหลมไว้ในผ้าลายปักดิ้นเงินดิ้นทอง ต่อสู้ด้วยปัญญาและความกล้าหาญ รุกและถอยไประหว่างริมฝีปากและลิ้น กำหนดตัดสินแพ้ชนะด้วยปลายพู่กัน ต้องอาศัยความฮึกเหิมห้าวหาญด้วยเช่นกัน
            ปลายราชวงศ์ชิง ต้นราชวงศ์หมิง เมืองไท่หนานเจิ้นทางตะวันออกของมณฑลหูเป่ย มีบัณฑิตจอมยุทธ์คนหนึ่ง มีชื่อว่า หวางอู่อวี้

            หวางอู่อวี้ เป็นซิ่วไฉสอบตกคนหนึ่ง ซิ่วไฉสอบตกมิได้หมายความว่าหวางอู่อวี้ไร้ความสามารถ ในการสอบครั้งหนึ่งที่เมืองหลวง ท่านปฐมาจารย์ถือกระดาษข้อสอบของหวางอู่อวี้กล่าวต่อกษัตริย์ว่า
“ถ้าจะพูดถึงความสามารถในการเรียน บทความนี้ถือเป็นงานเขียนชิ้นเยี่ยมของแผ่นดิน เพียงแต่นามของผู้สอบคนนี้ล่วงละเมิดต่อพระองค์ท่าน”
กษัตริย์กล่าวว่า
“จุดมุ่งหมายของการสอบในเมืองหลวง ก็คือการเสาะแสวงหาคนดีมีวิชามาไว้ ชื่อไม่ดี สามารถเปลี่ยนใหม่ได้”
พูดจบก็รีบเอากระดาษข้อสอบที่ท่านปฐมาจารย์ยื่นมา พอมองดูก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาทันที บนกระดาษข้อสอบเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า
"หวาง หวาง หวาง” ก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันที พูดว่า
"อาจหาญ โลกนี้มีข้าเป็นกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว จะมี 3 กษัตริย์ได้อย่างไร"
พูดจบมีบัญชาให้หวางอู่อวี้เข้าวัง
           
เมื่อหวางอู่อวี้เข้าวัง หลังจากได้รับกระดาษข้อสอบมาถือไว้ในมือ ก็ใช้ปลายเล็บที่เตรียมเคลือบหมึกไว้แล้วเติมขีดแนวตั้งทางด้านขวามือของตัวอักษรตัวที่ 2 และเติมจุดจุดหนึ่งที่ตัวอักษรตัวที่ 3 จากนั้นพูดว่า
"ใต้เท้าน่าจะตาลายแน่ๆ ข้าไหนเลยจะกล้าเขียนตัวอักษร 'หวาง หวาง หวาง'* 3 คำนี้”
พูดจบก็ส่งกระดาษข้อสอบแก่กษัตริย์ กษัตริย์รับกระดาษข้อสอบมาดู พบว่า 'หวาง หวาง หวาง' กลายเป็น 'หวางอู่อวี้' ไปแล้ว ทำหน้าหัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้
"เห็นแก่ความฉลาดเฉลียวของเจ้า ที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ ข้าจะละเว้นไว้ชีวิตเจ้า แต่จะลดขั้นเจ้าให้เป็นเพียงประชาชนชั้นต่ำตลอดไป ห้ามเจ้าเข้าสอบอีกตลอดชีวิต"

            หลังจากที่หวางอู่อวี้กลับบ้าน ก็ได้เปิดโรงเรียนขึ้นแห่งหนึ่งที่เมืองหนานไท่เจิ้น ดำรงตนเป็นคนสอนหนังสือ รับสอนเฉพาะลูกหลานของคนยากจน หวางอู่อวี้สอนหนังสือเช่นนี้มาเป็นเวลา 30 ปี นักเรียนของหวางอู่อวี้บางคนรับราชการอยู่กับราชสำนัก บางคนเป็นนักรบอยู่ในกองทัพ มีคนหัวเราะเยาะหวางอู่อวี้ว่า
"ศิษย์ก้าวหน้า อาจารย์ไม่ก้าวหน้า" หวางอู่อวี้ก็หัวเราะพูดว่า
"คนสามารถจะกระทำได้ และชะตาชีวิตไม่สามารถกระทำได้"
           
ปลายพู่กันของหวางอู่อวี้เฉียบคม มักมีคนมาขอให้เข้าช่วยเขียนคำร้องเรียนแทนเสมอๆ แต่หวางอู่อวี้มีกฎเกณฑ์ข้อหนึ่ง คือ เขียนให้แต่เฉพาะคนจน ไม่เขียนให้คนร่ำรวย เขียนให้แต่เฉพาะประชาชนคนชั้นล่าง ไม่เขียนให้ขุนนางข้าราชการ
            30 ปีมานี้ หวางอู่อวี้ไม่รู้ว่าได้เขียนคำร้องเรียกหาความเป็นธรรมให้แก่คนยากจนไปแล้วมากน้อยเท่าไร ช่วยระบายโทสะแทนคนจนไม่รู้เป็นจำนวนเท่าไร ไม่รู้ว่าได้ช่วยพูดแทนประชาชนคนชั้นล่างเป็นจำนวนเท่าไร ช่วยให้พวกเขาได้ลุกขึ้นมาร้องทวงความเป็นธรรมคืน พวกคหบดีในท้องถิ่นแถบนั้นเสียเหลี่ยมให้แก่หวางอู่อวี้โดยมิอาจกล่าวกระไรได้มาแล้วไม่น้อย พวกเขาทั้งกลัว ทั้งแค้นหวางอู่อวี้ คิดสร้างเรื่องมาจัดการหวางอู่อวี้ให้ได้ แต่หวางอู่อวี้กระทำสิ่งใด ล้วนรัดกุม ไร้ช่องโหว่ คหบดีบ้านนอกพวกนี้ทำอะไรหวางอู่อวี้ไม่ได้เลย

            เทศกาลตวนหยาง ตรงกับวันเกิดของหวางอู่อวี้ คหบดีเมืองหนานไท่เจิ้นนัดพบกัน ปรึกษาวางแผนว่าจะหาทางกลั่นแกล้งหวางอู่อวี้ในวันเกิดของเขาให้ได้ คหบดีคนหนึ่งพูดว่า
หวางอู่อวี้ถือได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่ง เป็นคนรักหน้าตัวเองเป็นอย่างยิ่ง แต่คนสอนหนังสือคนนี้ก็เป็นคนจนอย่างยิ่ง ไม่สามารถหาข้าวสารมากรอกหม้อได้บ่อยๆ พวกเราอาศัยการไปอวยพรวันเกิดให้เขาเป็นข้ออ้าง ทำให้เขาต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองดีไหม”
บรรดาคหบดีต่างพูดกันว่า ความคิดนี้ดีมาก
            ถึงวันเทศกาลตวนหยาง คหบดีแต่ละคน ต่างแต่งกายภูมิฐาน สวมหมวก สวมเสื้อนอก เสื้อคลุมอย่างเป็นทางการ มือถือไม้เท้า มาที่บ้านของหวางอู่อวี้ หวางอู่อวี้รับรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงพูดว่า
            “ท่านคหบดีทั้งหลาย มาอวยพรวันเกิดให้ข้า ข้าไหนเลยจะน้อมรับไหว วันนี้แม้จะต้องขายที่ขายนา ข้าก็จะเลี้ยงอาหารอย่างดีแก่พวกท่านสักมื้อ เฟิงฉิงโหลว คือสถานที่เหมาะสมที่สุดของหนานไท่เจิ้น ไม่ทราบว่าทุกท่านพอใจหรือไม่”
            พอหวางอู่อวี้พูดออกมา เหล่าคหบดีต่างตกใจจนยืนเซ่อไป เฟิงฉิงโหลวไม่เพียงมีสุราดี อาหารดี กับแกล้มดี ยังมีสาวงามเป็นเพื่อนร่วมดื่ม แม้แต่คหบดีเช่นพวกเขา ยามจะเลี้ยงแขกก็ยังไม่กล้าเดินดุ่มเข้าไปในเฟิงฉิงโหลวเลย

            เมื่อไปถึงเฟิงฉิงโหลว นักเรียนของหวางอู่อวี้ คนต้อนรับของสุราคาร ต่างก็ยืนต้อนรับลูกค้าอยู่ที่ประตู พวกเขานำเอาเสื้อคลุม เสื้อนอก และหมวกที่เหล่าคหบดีถอดออกมาไปแขวนเอาไว้ที่กระดานผนังร้าน
            คหบดีเหล่านี้พอขึ้นไปบนสุราคาร ก็ถูกสาวงามคนแล้วคนเล่ากรูเกรียวกันพาไปฟังการขับขานเพลงงิ้ว เสพสุราอาหาร หรือพาไปยังห้องพิเศษส่วนตัว สนุกกันจากยามเที่ยงของวันแรกกระทั่งถึงเช้าตรู่วันที่สอง จึงเดินลงมาจากสุราคารอย่างโรยแรง ขณะที่พวกเขาร้องบอกให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเอาเสื้อนอก หมวก เสื้อคลุม และไม้เท้าที่ฝากไว้ตั้งแต่เมื่อวานมานั้น หวางอู่อวี้ก็เดินออกมาจากข้างใน พูดว่า
“ท่านคหบดีทุกท่าน สนุกกันได้เต็มที่หรือไม่”
            คหบดีพูดว่า “สนุกเต็มที่ สนุกเต็มที่”
            หวางอู่อวี้พูดว่า “สนุกเต็มที่ก็ดีแล้ว”
            คหบดีพูดว่า “รีบเอาของที่ฝากไว้เมื่อวานออกมา พวกเราจะไปแล้ว”
            หวางอู่อวี้พูดว่า
พูดกับทุกท่านตามความเป็นจริง ข้าหวางอู่อวี้ ยากจนข้นแค้น ไหนเลยจะมีเงินทองเลี้ยงพวกท่านให้สนุกสุดเหวี่ยงที่เฟิงฉิงโหลวได้ เสื้อนอก หมวก เสื้อคลุม ไม้เท้าของพวกท่าน ข้าได้เอาไปจำนำที่โรงรับจำนำหมดสิ้น นำมาจ่ายเป็นค่าอาหารเมื่อวานนี้ ถ้าหากพวกท่านต้องการของๆ ท่านให้ได้ ก็ต้องไปไถ่คืนจากโรงจำนำ ตั๋วจำนำทั้งหมดได้ติดไว้บนกระดานที่ผนังร้านแล้ว”

            คหบดีทั้งหลายรู้ว่าหวางอู่อวี้ พูดได้ ย่อมทำได้ บ่นพึมพำกันกลับเข้าไปในร้านพบว่าตั๋วจำนำติดอยู่ข้างบนจริงดังว่า คหบดีแต่ละท่านไม่เหลือกิริยาอาการสุภาพเป็นผู้ดีเช่นปกติ ต่างพากันไปดึงเอาตั๋วจำนำของตัวเอง แต่ตั๋วก็ติดไว้แน่นเสียเหลือเกิน แกะอย่างไรก็แกะไม่ออก อีกทั้งพวกเขาเกรงจะแกะตั๋วขาด จึงได้แต่แบกเอากระดานแผ่นนั้นวิ่งไปทางโรงจำนำด้วยอาการเอะอะโวยวาย
            หวางอู่อวี้ยืนอยู่ที่หน้าประตู ประสานมือร่ำลา ร้องเสียงดังว่า
ล่วงเกินแล้ว ล่วงเกินแล้ว
            ผู้คนบนถนน เห็นคหบดีเหล่านั้นแบกแผ่นกระดาน ตุปัดตุเป๋วิ่งไปข้างหน้า ต่างก็หัวร่อจนน้ำตาไหล

 เรืองรอง รุ่งรัศมี
แปล

*หมายเหตุ* หวาง : แปลว่ากษัตริย์หรือพระราชา เป็นแซ่สกุลหนึ่ง ชื่อของหวางอู่อี้ โดยรูปอักษร เขียนคล้ายตัวหวางที่แปลว่ากษัตริย์ทั้ง 3 ตัวอักษร เติมขีดตั้งสั้นๆ ด้านขวาคืออู่ เติมหนึ่งแต้มเล็กๆ ที่มุมขวาคืออวี้


พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ สายลมในกิ่งหลิว เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับทึ่ 767

ดอกไม้ป่า



ดอกไม้ป่าดอกหนึ่ง
บานในทุ่งรกร้างแล้วก็โรยไป
ไม่ได้คิดถึงชีวิตน้อยๆ นี้
หันหน้าแย้มยิ้มให้กับดวงตะวัน
ความฉลาดที่พระเจ้ามอบให้กับเขา
เขารู้ตัวเองดี
ความปีติยินดีของเขา
บทกวีของเขา
โยกไหวแผ่วเบาเบื้องหน้าสายลม

ดอกไม้ป่าดอกหนึ่ง
บานในทุ่งรกร้างแล้วก็โรยไป
เขามองเห็นท้องฟ้าสีคราม
มองไม่เห็นความเล็กกระจ้อยร่อยของตัวเอง
ฟังเสียงอันอ่อนโยนของสายลมจนเคยชิน
 ฟังเสียงกราดเกรี้ยวของสายลมจนเคยชิน

แม้กระทั่งความฝันของตัวเองก็ยังลืมไปได้ง่าย

จากบทกวี 'อี้ ตว่อ เหย่ ฮวา'

โดย : เฉิน เมิ่ง เจีย


เรืองรอง รุ่งรัศมี แปล


วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไล่ล่าจอมยุทธ์ อี ปิง

ไล่ล่าจอมยุทธ์
อี ปิง

          ในอากาศ รังสีฆ่าฟันยิ่งมายิ่งเข้มข้นแล้ว
            เมฆสีอันวิจิตรตระการตาทางเบื้องฟ้าตะวันตก สะท้อนแสงพราวพรายจน ไฉจินป้า มิอาจลืมตาขึ้นได้ ดวงตาทั้งสองของเขาหลับลงแล้วลืมขึ้นอีก ห่างออกไปกว่า 10 วา มีคนเพิ่มมา 1 คน แล้วในบัดนี้
            เส้นผมขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น อาภรณ์ชุดเขียวที่ซักจนซีด พู่กระบี่สีเหลืองแกว่งไกวอยู่ในสายลมภูเขา

            เขาก็คือ 'หนึ่งในกระบี่เย้ยฟ้า กระบี่สะท้านวิญญาณ' ผู้นั้น ไป๋เซี่ยวเทียน มือสังหารอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน
            เป็นเขานั่นเองที่เล็ดลอดผ่านกองกำลังทหารที่ดักซุ่มอยู่ถึง 3,000 คน จู่โจมเข้าใส่หน่วยคุ้มกันที่มีพลังฝีมือล้ำเลิศ 29 คน จนแตกพ่ายภายในเวลาที่นัดหมายกันไว้ จนสามารถสังหารขุนพลอู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในหีบเหล็ก ที่ซ่อนเอาไว้ในบ่อลึกอีกชั้นหนึ่ง
            ผู้อาวุโสหลิน แห่งพรรคกระยาจกเมามาย แล้วสังหารผู้คนในครอบครัวข่งไหลเฟิงแห่ง 'หมู่ตึกนกยูง' 63 คน เป็นเขานี่เองที่เดินทาง 5,000 กว่าลี้ ตีฝ่าการสกัดกั้นประมุขกู้แห่งพรรคกระยาจก และบรรดาผู้อาวุโสของพรรค จนสามารถนำเอาศีรษะของผู้อาวุโสหลินจากซินเจียงมายังหน้าหลุมศพของข่งไหลเฟิง
                                                           
          สามสิบปีมานี้ ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเรื่องที่ ไป๋เซี่ยวเทียน ต้องการจะกระทำ
            "ท่านก็คือไฉจินป้า?"
            "ท่านก็คือไป๋เซี่ยวเทียน?"
            "ชักดาบของท่านออกมา" ไป๋เซี่ยวเทียนกวาดตามองไฉจินป้าอย่างไม่กระตือรือร้นครั้งหนึ่ง ในสายตานั้น มีความรู้สึกเหยียดหยาม เยาะเย้ย กระทั่งโกรธแค้น
            ไฉจินป้าชักดาบของเขาออกมาช้าๆ ดาบหนัก 82 ชั่ง ยังคงคมกริบดังเดิม ถืออยู่ในมือยังคงถนัดถนี่ดังเคย
            แต่ใจเล่า? ใจยังคงผ่อนคลาย เป็นปกติดังก่อนหรือไม่?
            คมดาบวาววับ ลมพลันพัดกรรโชก

            ไป๋เซี่ยวเทียนเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวร่อฮาฮาคำหนึ่ง เสียงหัวร่อดังสะท้านก้องในหุบเขา
            โลกพลันเงียบสงบลง เงียบเสียจนสามารถจะได้ยินเสียงการตกของดวงตะวัน
            ไฉจินป้ายังยืนอยู่ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาแทบจะไม่เชื่อว่านี่จะเป็นความจริง ...ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ เขาราวกับว่ายังหายใจได้อยู่
            เบื้องหน้าของเขาคือปลายแหลมของกระบี่เล่มหนึ่ง บนปลายแหลมของกระบี่ประคองกลีบดอกไม้กลีบหนึ่ง
            นี่คือกลีบของดอกชาภูเขา หากไม่ใช่เพราะกระบี่ของไป๋เซี่ยวเทียนเรียวเกินไป ย่อมไม่มีทางมองเห็นได้อย่างแน่นอน

            เป็นเสียงหัวร่อยาวนานอีกเสียงหนึ่ง เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งพลิ้วลงตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
            มานพหนุ่มท่วงท่าสง่างามคนหนึ่ง ประสานมือค้อมคารวะต่อไป๋เซี่ยวเทียนครั้งหนึ่ง
"ท่านผู้อาวุโสไป๋ ข้า ฮวาเมิ่งเตี๋ย น้อมคารวะ"
            ไป๋เซี่ยวเทียนพูดอย่างราบเรียบว่า
"คุณชายกรุ้มกริ่มฮวาเมิ่งเตี๋ย?"
            "เป็นผู้น้อยเอง"
            ไป๋เซี่ยวเทียนทอดถอนใจยาว สะบัดมือคราหนึ่ง กระบี่ในมือวาดแสงสว่างวาบสายหนึ่ง หายไปในหุบเขา
            ไป๋เซี่ยวเทียนพูด "คุณชายฮวา ข้ามีเรื่องไหว้วานเรื่องหนึ่ง"
            ฮว่าเมิ่งเตี้ยพูดว่า "ผู้อาวุโสโปรดบอกออกมา"

            ไป๋เซี่ยวเทียนหยิบเศษเงินชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พูดว่า
"ขอให้คุณชายฮวานำเงิน 5 เหรียญเงินนี้ไปคืนให้แก่หญิงชราผู้หนึ่ง ข้ามิได้แก้แค้นให้กับนาง และนี่เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ข้าไม่อาจทำตามที่รับปากให้เป็นจริงเช่นกัน"
            ฮวาเมิ่งเตี๋ยหัวร่อพูดว่า
"จ่าย 5 เหรียญเงินก็สามารถจ้างมือสังหารหมายเลข 1 ของแผ่นดินได้ คิดว่าคนๆ นี้คงไม่ใช่คนธรรมดากระมัง?"
            ไฉจินป้าใบหน้าแดงก่ำขึ้นในทันใด ร้องออกมาอย่างร้อนรนว่า
"หรือว่าข้ามีค่าเพียง 5 เหรียญเงิน? ข้าให้เจ้า 5 หมื่นตำลึง... ไม่, ไม่...ห้าสิบหมื่นตำลึง ขอให้เจ้าไปสังหารมัน!"
            ไป๋เซี่ยวเทียนพูดว่า
"ท่านได้สังหารสามีของผู้อื่น แย่งชิงภริยาและบุตรสาว แล้วยังต้องการจะฆ่าล้างตระกูลอีกหรือ?"
            ไฉจินป้าร้องด้วยความโมโหว่า
"อะไรกัน 'สังหารสามี แย่งชิงภริยาและบุตรสาว'? เจ้าอย่าได้อมโลหิตพ่นใส่ผู้คน!"
            ไป๋เซี่ยวเทียนหัวร่อฮาฮาพูดว่า
"ท่านมีชื่อ 'จอมดาบ' เสียเปล่า แม้แต่คนธรรมดาที่ไม่มีวิชายุทธ์ก็ยังกล้าฆ่า ท่านไม่รู้สึกอับอายต่อผู้คนบ้างหรือ?"

            ไฉจินป้าเบิกดวงตากว้างด้วยความโกรธ กำลังจะมีปฏิกิริยา ฮวาเมิ่งเตี๋ยยิ้มแล้วพูดว่า
"เรื่องราวความเป็นมาผู้น้อยรู้มาบ้างเล็กน้อย ผู้น้อยเองก็มาเพราะว่าเรื่องนี้ หนึ่งปีก่อน คุณชายรองไฉหย่งของผู้อาวุโสไฉไปเที่ยวเล่นที่เจียงหนาน ได้พบกับสตรีรูปโฉมงดงามนางหนึ่งที่นอกเมืองหางโจว ก็จะรับเอามาเป็นภริยาน้อย สตรีนางนี้นั้นมีสามีและบุตรอายุ 2 ขวบคนหนึ่งแล้ว คาดมิถึงว่าไฉหย่งไม่ยอมละเว้น จะเอาตัวไปให้ได้ นางไม่ยินยอม ไฉหย่งโมโหโกรธา กลับสังหารสามีที่ไม่มีวิชายุทธ์ และบุตรชายเสีย เหลือเพียงมารดาชราอายุ 60 กว่าปี ยายเฒ่าเที่ยวกล่าวโทษร้องทุกข์ไปทั่ว แต่ทางการก็ไร้กำลังจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธจักร ยายเฒ่าสิ้นไร้หนทางขอความช่วยเหลือ ฟังมาว่าในยุทธจักรมีมือสังหารสามารถจะชำระความแค้นให้ได้ จึงนำเอาเงิน 5 เหรียญเงินที่อดออมมาตลอดชั่วชีวิตของนาง คิดจะจ้างมือสังหารตามหาตัวฆาตกร ท่านผู้อาวุโสไป๋บังเอิญเดินทางผ่านไปหางโจว ยายเฒ่าได้แขวนเงิน 5 เหรียญเงินนั้นไว้ที่หัวถนนเพื่อจ้างมือสังหารนานกว่าครึ่งปีแล้ว ท่านผู้อาวุโสไป๋เป็นผู้กล้าซึ่งเปี่ยมคุณธรรม เก็บเอาเงิน 5 เหรียญเงินมาแล้วติดตามไล่ล่ามาถึงนี่ เพราะว่าตอนที่ไฉหยงกระทำเรื่องชั่ว ได้ประกาศใช้นาม 'จอมดาบ' ดังนั้นท่านผู้อาวุโสไป๋จึงมุ่งมาหาท่านผู้อาวุโสไฉโดยตรง สะใภ้รองที่ท่านผู้อาวุโสไฉตกแต่งมาเมื่อวันก่อน ก็คือสตรีนางนี้"

            ไฉจินป้าใบหน้าแดงก่ำไปทั้งใบหน้า คล้ายจะเชื่อ คล้ายจะไม่เชื่อ ยามนี้ฮวาเมิ่งเตี๋ยร้องเรียกว่า
"ท่านออกมาได้แล้ว"
            ที่ในพงหญ้ามีเสียงดังขยับเคลื่อนไหวระลอกหนึ่ง ไฉหยงก้มหัวเดินออกมา
            ไฉจินป้าร้องด้วยความโกรธออกมา
"ที่คุณชายฮวาพูด เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?"
            ไฉหย่งตอบเสียงเบาว่า "เป็นเรื่องจริง"
            แสงสว่างวาบและสายลมกล้าวูบหนึ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง ดาบของไฉจินป้าตวัดขึ้นสูง คุณชายรองไฉหย่ง หัวและร่างกายไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว
            บนดาบของไฉจินป้าไม่มีหยาดโลหิตแปดเปื้อนแม้แต่หยดเดียว

            จอมดาบยังคงคือจอมดาบ
            น้ำตาของจอมดาบรินไหลออกมาแล้ว... จอมดาบไม่หลั่งโลหิต จอมดาบหลั่งน้ำตาออกมา
          ดวงจันทร์กระจ่างลอยสูง
            ไฉจินป้าพลันหัวร่อออกมา พูดเสียงแหบแห้งว่า
"ท่านทั้งสองมาที่หมู่ตึกดาบทองมิได้เพื่อดื่มสายลมภูเขากระมัง?"
            ฮวาเมิ่งเตี๋ยก็หัวร่อพูดว่า
"ท่านผู้อาวุโสไฉยังได้ตระเตรียมสุราเขียวใบไผ่ที่หมักบ่มเอาไว้ถึง 300 ปีไว้ด้วย"
          ทั้งสามหัวร่อเสียงดัง ในเสียงหัวร่อนั้น เงาร่าง 3 สาย พลันหายไปในแสงจันทร์...

เรืองรอง รุ่งรัศมี
แปล


พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ สายลมในกิ่งหลิว เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับทึ่ 718