ค้นหาบทความ

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ราชันดาบไว ฮว๋าง เว่ย ผิง

ราชันดาบไว
ฮว๋าง เว่ย ผิง

เทือกเขาทางตะวันตกของฮว๋าซานสูงตระหง่านมองเห็นอยู่ลิบๆ หวางจิ่ว ราชันดาบไวที่มีชื่อเลื่องลือไปทั่วด่านกวนจง ฝ่าวงล้อมที่รุกไล่ล่าชั้นแล้วชั้นเล่าของทัพชิง ในที่สุดก็มาถึงเชิงเขาฮว๋าซาน
เกี้ยวคันหนึ่งจอดอยู่กลางทาง ขวางทางของหวางจิ่วเอาไว้
นี่คือทางภูเขาที่หากแม้มีคนเพียงคนเดียวเฝ้าพิทักษ์ไว้ คนนับหมื่นคนก็อย่าคิดหมายว่าจะบุกฝ่าไปได้
หวางจิ่วประสานมือทั้งคู่กระทำคารวะ พูดว่า
“วีรบุรุษผู้กล้าจากทางใด ผู้น้อยหวางจิ่ว มีเรื่องจำเป็นใคร่ขอผ่านทาง”
ในเกี้ยวยังคงไร้สุ้มเสียง
หวางจิ่วพูดซ้ำต่อเนื่อง 3 ครั้ง ล้วนไร้เสียงตอบ ได้แต่พูดคนเดียวว่า
“ล่วงเกินแล้ว”
แล้วทะยานตัวขึ้น คิดจะทะยานข้ามเกี้ยวหามเพื่อเร่งเดินทาง คาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเหินถึงเบื้องบนเกี้ยวหาม พลันได้ยินเสียงกัมปนาท เกี้ยวระเบิดกระจายไปรอบทิศ มีผู้เฒ่าหนวดเครายาวคนหนึ่งเหินขึ้นมาจากภายในนั้น กระบี่สระมังกรวาววับเล่มหนึ่งชี้มายังกลางหว่างคิ้วของหวางจิ่ว
ยามเล่านั้นช้าทว่ายามนั้นกลับรวดเร็วยิ่ง หวางจิ๋วที่มีรูปร่างสูงใหญ่คล่องแคล่วประดุจเสือดาว พลิกตัวตีลังกา ชักดาบยาวกว่า 3 เชียะ กว้างไม่ถึง 2 นิ้วจากเอว ต้านกระบี่สระมังกรเอาไว้ ปากก็ร้องตะโกนว่า
“ผู้กล้าจากทางใด เราต่างไม่เคยรู้จักกัน ไยจึงมาขวางทางเราผู้แซ่หวางเอาไว้?
ผู้เฒ่าท่านนั้นหัวร่อฮาฮา “สมที่เป็นนักดาบ ข้าขอถามหน่อย กองกำลังพลเรือน 72 คนที่หมู่บ้านซานเหอ ตายใต้คมดาบของท่านใช่หรือไม่?
หวางจิ่วหัวร่ออย่างอาจหาญ “พวกเขาข่มเหงรังแกคนดี ฆ่าฟันทำร้ายประชาชน หากข้าไม่สังหารเสีย ย่อมมีผู้กล้าคนอื่นผดุงคุณธรรมแทนฟ้าดินอยู่ดี”
“ไพร่พล 13 นายที่กองกำลังค่ายเขียวท่าเรือริมพงหญ้า แม่น้ำเว่ยเหอ ท่านเป็นคนฆ่าใช่หรือไม่?
“ใช่แล้วจะเป็นไง?” หวางจิ่วตอบเย็นชา “พวกเขาวางแผนดักซุ่มที่นั่น จะจับกุมตัวข้าไปเอารางวัลที่ซีอาน หากข้าไม่สังหารพวกเขา ข้าก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้ง!
“สมกับที่เป็นดาบไว แล้วพวกพลพรรคธงขลิบเหลือง 21 คนที่บนทางน้อย ที่เสียนหยางเล่า?
“พวกลูกผู้ลากมากดีพวกนั้น ไหนเลยจะเป็นคู่มือข้าได้?
“ไม่ผิดจากคำร่ำลือจริงๆ ผู้คนพากันพูดว่า ราชันดาบไวแห่งกวนจง ลำพองในชื่อเสียง เที่ยวเกะกะระรานชาวบ้าน ยากจะมีคู่มือต่อกร วันนี้ข้าเลยลองมาขอรับการสั่งสอน!
“ฮึ” หวางจิ่วถลึงตาทั้งคู่ “รับการสั่งสอน ขออภัยที่ข้าไม่อาจน้อมปฏิบัติตามได้”
“ทำไม?
“วันนี้ราชันดาบไวมีเรื่องสำคัญต้องทำ ในเมื่อท่านรู้ถึงชื่อเสียงของข้า ไยกลับไม่รู้ว่าข้ามีกฎ 3 ไม่ฆ่า ข้าจะทำลายชื่อเสียงของข้า เพราะตัวท่านได้อย่างไร?
3 ไม่ฆ่า? 3 ไม่ฆ่าอันใด?
“คนยากคนจนที่เป็นคนดีไม่ฆ่า คนแก่และเด็ก, สตรีไม่ฆ่า, คนไม่มีอาวุธในมือไม่ฆ่า”
“นั่นเพราะท่านมิได้พบกับคู่มือที่แท้จริง ใช้ชื่อเสียงแสวงหาลาภยศสรรเสริญเท่านั้น วันนี้ศัตรูกล้าแข็งอยู่นี่ ท่านคิดจะหาข้ออ้างด้วยเหตุนี้หรือ --- ดูกระบี่!
ผู้เฒ่าท่านนั้นกู่ร้องเสียงดัง กระบี่สระมังกรในมือพลันเป็นดั่งมังกรคะนองเมฆ ฉวัดเฉวียน รังสีเยียบเย็นสายแล้วสายเล่าคลุมครอบหวางจิ่ว ช่างเป็นเพลงกระบี่ที่ดีกระไรปานนั้น หวางจิ่วผ่านศึกมานับร้อย ยังไม่เคยประสบกับเพลงกระบี่เช่นนี้มาก่อน เขามองทางกระบี่ท่ากระบี่ไม่ออก รู้สึกแต่เพียงว่ารังสีกระบี่คุกคามรุกไล่ ได้แต่กวัดแกว่งดาบกวนซานที่สร้างอย่างวิจิตรพิสดาร ซึ่งสามารถตัดเหล็กดั่งตัดดินโคลน ใช้ออกด้วยกระบวนท่างูทองร่ายรำ ปกป้องตัวเอง คาดไม่ถึงว่า ผู้เฒ่าท่านนั้น มิได้ใช้พลังกระบี่ทำร้ายเขา ทว่าพัวพันทำลายเรี่ยวแรงของเขา ไม่ว่าเขาจะร่ายรำดาบได้ถี่ถ้วนเพียงใด กระบี่เล่มนั้นก็ยังคงหาช่องโหว่จนได้ รังสีกระบี่รุกเข้ามาในประกายวูบไหวของดาบ คิดจะสลัดดาบของเขาให้หลุดจากมือ
ดาบคือชีวิตของนักดาบ ดาบไม่ห่างกาย กายไม่ห่างดาบ คือกฎเกณฑ์ของนักดาบ นักดาบผู้ทระนงยอมให้หัวขาดก็ไม่ยอมทิ้งดาบ
หวางจิ่วรู้อยู่ในใจว่า พบศัตรูกล้าแข็ง การเดินทางครั้งนี้ของเขาก็เพื่อช่วยส่งเทียบเชิญผู้กล้า ต่อยอดฝีมือผู้เร้นกายผู้หนึ่งให้แก่นักดาบหมู่บ้านตะวันตกแห่งกวนจง นักดาบหมู่บ้านตะวันตกคิดวางแผนสังหารผู้ตรวจการส่านซี แห่งราชวงศ์ชิง จากนั้นจะลุกขึ้นก่อการปฏิวัติ แต่ว่าขุมกำลังไม่เพียงพอ จึงได้ขอให้ยอดฝีมือผู้นั้นให้การช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ยอดฝีมือผู้นั้นไม่เพียงเป็นคนหมู่บ้านตะวันตก ครั้งอดีตก็เคยลุกขึ้นก่อการปฏิวัติครั้งหนึ่ง ทว่าล้มเหลว ต่อมาจึงได้เร้นกายอยู่ในเขาฮว๋าซาน ไม่ปรากฏตัวอีก คาดไม่ถึงว่าตนได้บุกฝ่าด่านผ่านมาด่านแล้วด่านเล่า จนภารกิจที่รับมอบหมายจวนจะประสบผลสำเร็จอยู่ตรงเบื้องหน้า แต่กลับต้องพบกับเขี้ยวเล็บของทัพกองทัพชิง ลอบซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ แล้วยังเป็นยอดฝีมือผู้เยี่ยมยุทธอีกด้วย
ต่อสู้อย่างดุเดือดรุนแรงกับผู้เฒ่า เดิมหวางจิ่วก็ตกเป็นรองอยู่แล้ว พอเกิดวอกแวก จุดโหว่ก็พลันปรากฏ ผู้เฒ่าท่านนั้นใช้กระบวนท่าลมเย็นโชยพัดเดือนแจ่มจ้า รุกไล่หวางจิ่วไปจนถึงศิลาใหญ่หน้าผาชัน ปลายกระบี่นั้นชี้ตรงข้อมือของหวางจิ่ว ห่างอยู่เพียงแค่ปลายเข็ม แม้เป็นเช่นนั้น หวางจิ่วก็ยังไม่ทิ้งดาบในมือ เพียงแต่ถอนใจยาว ร้องว่า
“คิดไม่ถึงว่า สุนัขรับใช้ราชสำนัก็มีผู้เยี่ยมยุทธเช่นนี้ ข้าหวางจิ่วแม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพียงแต่เสียใจว่าภารกิจที่รับมอบหมาย แผนการที่นักดาบแห่งหมู่บ้านตะวันตกตระเตรียมไว้นานปีต้องมาล่มลง...”
เสียงยังไม่สิ้น เขาพลันใช้ออกด้วยกระบวนท่าอัสนีบาตรฟาดฟ้า นั่นคือดาบไวในดาบไวของเขา รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด --- เขาคิดจะใช้ความตายชำระความอับอาย แต่ก็ยังช้าไปชั่วขณะ กระบี่ของผู้เฒ่าท่านนั้นกลับไวยิ่งกว่าดาบของเขา ได้กดดาบในมือของเขาไว้แน่น ทำให้เขาไม่อาจใช้ดาบได้เลย
หวางจิ่วร้องด่าเสียงดัง
ผู้เฒ่าท่านนั้นหัวร่อฮาฮา พูดว่า
เหนือขุนเขายังมีขุนเขา
เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า
ไพร่พลที่เย่อหยิ่งย่อมประสบกับความพ่ายแพ้
แต่โบราณมา ผู้ที่คิดหวังประสบผลสำเร็จในงานใหญ่จะต้องหมั่นเพียรฝึกฝนร่างกายของเขาเป็นประการแรก ทั้งต้องเคี่ยวกรำจิตใจและอุดมการณ์ให้แข็งแกร่งด้วย!
ท่านประสบกับการโจมตีครั้งนี้ก็คิดฆ่าตัวตาย แล้วจะทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้อย่างไร?
หวางจิ่วรู้อยู่ในใจว่า นี่คือคำชี้แนะจากยอดฝีมือ จึงค้อมกายคารวะนิ่งอยู่
ผู้เฒ่าหนวดเครายาวก็คือยอดคนที่เร้นกายอยู่ในเขาฮว๋าซาน ที่หวางจิ่วกำลังตามหา
จากนั้นมา ชื่อเสียงของราชันดาบไวก็เลื่องระบือ แต่หวางจิ่วไม่เคยเรียกขานตนว่าเป็นผู้มีดาบไวต่อหน้าผู้อื่น ยิ่งไม่เคยถือว่าตนคือราชันดาบไว


เรืองรอง รุ่งรัศมี แปล
2007


พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ “สายลมในกิ่งหลิว” เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 16 ฉบับที่ 813 วันที่ 28 ธ.ค. 2550- 3 ม.ค. 2551
(เป็นฉบับสุดท้ายที่เขียนลงคอลัมน์ด้วยงานแปลชิ้นนี้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น