หากว่าแต่งงานมีครอบครัว
คนอายุ 35–50 ปี
ก็คงเป็นพ่อแม่ของเด็กๆ ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงอุดมศึกษาได้สบายๆ
หากเป็นพ่อแม่ของลูกที่เป็นวัยรุ่นหรือเรียนอยู่ระดับอุดมศึกษา
ปัญหาช่องว่างทางความคิด ซึ่งแตกต่างตามช่วงวัย ภูมิหลัง ประสบการณ์ชีวิต
และความแตกต่างของสังคมและยุคสมัย ทำให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับคนเหล่านี้
เราพบว่าคนรุ่น 14 ตุลาและคนรุ่นเข้าป่าซึ่งอยู่ในวัย 35–50 ปี โดยประมาณ ในวันนี้ปฏิบัติต่อเรื่องเหล่านี้แตกต่างกันไป
การกระทำบางอย่างชวนฉงนจนน่าตั้งข้อสังเกตเป็นประเด็นทางสังคม
เด็กๆ
ลูกของคนรุ่น 14 ตุลา
ถึงรุ่นเข้าป่านั้นมีกระจัดกระจายไปทั่วประเทศ พวกเขาเรียนหนังสืออยู่ตามโรงเรียนต่างๆ
ทั้งโรงเรียนวัด โรงเรียนประชาบาล โรงเรียนประจำอำเภอ ประจำจังหวัด
โรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จนถึงโรงเรียนเอกชนที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแพงๆ
จำนวนหนึ่งถูกพ่อแม่ให้ไปแสวงหากระดาษแผ่นนั้นถึงเมืองนอนด้วยจำนวนเงินก้อนโต
เกิดอะไรขึ้นกับวิธีคิดของคนเป็นพ่อแม่
อันมีผลถึงการกำหนดฝีเท้าก้าวเดินของผู้เป็นลูกให้แตกต่างกันมาก
ไม่เพียงแต่การกำหนดฝีเท้าก้าวเดินของคนเป็นลูก
คนช่วงวัย 35–50 ปี
ยังมีส่วนอย่างสำคัญต่อการโน้มนำชักจูงฝีเท้าก้าวเดินของคนอีกรุ่นหนึ่งของสังคมอยู่ในวันนี้
ขณะที่คนรุ่นอายุ
35–50 ปี บ่นว่าไม่มีเพลงไทยจะฟัง ไม่มีหนังไทยจะดู
ไม่มีละครโทรทัศน์ไทยที่ชอบ ในสายงานวัฒนธรรมบันเทิงไทยกลับเต็มไปด้วยคนในวัย 35–50 ปี
ไม่เพียงจะเป็นคนทำงานในระดับปฏิบัติการ
แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้บริหารระดับตัดสินและวางแผนทางนโยบาย
ในแวดวงเศรษฐกิจการเมืองก็เช่นเดียวกัน
คนที่ปั่นและเป่าลูกโป่งฟองสบู่ ส่วนข้างมากอยู่ในช่วงวัยนี้
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์และนิตยสารจำนวนมากเป็นคนในช่วงวัยนี้
ผู้กำกับภาพยนตร์กี่คนเป็นคนรุ่นนี้ หัวหน้าข่าวและนักข่าวมากมาย
คนเขียนบทหนังสือและโทรทัศน์ คนแต่งเพลง คนเขียนคำโฆษณา คนสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้า
คนวางแผนงานสินค้าวัฒนธรรม
ผู้ถือหุ้นและผู้ร่วมทุนในกิจการวัฒนธรรมบันเทิงเหล่านี้
ลองไล่เรียงไปตามแต่ละหน่วยงานของสังคมไทยในวันนี้ เราจะพบว่าคนรุ่นอายุ 35–50 ปี ยึดครองพื้นที่อยู่มาก
ส่วนหนึ่งที่คนในสายศิลปวัฒนธรรมและการบันเทิงไทยรุ่นอายุ 35–50 ปี ไม่กระทำลงไป
ได้เป็นเสมือนบูมเมอแรงที่ย้อนกลับมากระทบตัวของเขาและสังคมที่เขาอยู่
การจับคนหน้าตาดีที่เสียงงั้นๆ
มาเปล่งเสียงประกอบเสียงดนตรี เป็นการกระทำของใคร คนกำหนดนโยบายและเจ้าของทุนเป็นคนรุ่นไหน
คนทำมิวสิควิดีโอหรือคนกำหนดงบโปรโมทมิวสิควีดีโอที่มีให้ดูจนมีนชาเป็นใคร
คนทำนิตยสารเล่มหรูหราแต่สาระรุ่งริ่งนั้นมาจากนอกโลกหรือ
คนวางภาพลักษณ์ในให้สิ่งกลวงๆ ล้างสมองผู้คนอยู่ในโทรทัศน์เล่า
ทั้งหลายเหล่านี้คนรุ่นอายุ 35–50 ปี พูดว่ามิได้ร่วมทำและกำหนดให้เกิดขึ้นได้หรือ
คนรุ่นอายุ
35–50 ปี บ่นเสียงดังเสมอ
ต่อความอึดอัดคับข้องใจเรื่องสินค้าเชิงวัฒนธรรมและรสนิยมซึ่งอัตคัดขาดแคลนสำหรับเขา
เป็นธรรมชาติของช่วงวัยหรือที่คนในช่วงวัยนี้จะเริ่มบ่นอย่างไม่ต้องเหลียวมองตนเอง
ข้าพเจ้ามิได้ยกเว้นตัวเองไว้ในกรณีเช่นนี้
หลายปีมานี้ข้าพเจ้าพบว่าตนเองก็ไม่ติดต่อสัมพันธ์กับโรงภาพยนตร์
ไม่ชอบฟังเพลงที่ออกใหม่ๆ หงุดหงิดกับการ “ขาย” อะไรต่อมิอะไร แน่นอน
ข้าพเจ้ารำคาญและไม่ชอบใน Presenter ของสิ่งนั้นๆ
ไม่น้อย แต่พอได้สติคิด ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า เออ!
พวกคนที่ผมเริ่มหงอกแซมอย่างคนรุ่นข้าพเจ้านี่หว่า
ที่กำหนดให้สิ่งน่าหงุดหงิดเหล่านี้เกิดเฟื่องฟูขึ้นมาในสังคมยุคนี้
ข้าพเจ้าและคนรุ่นข้าพเจ้าได้เหวี่ยงบูมเมอแรงทางวัฒนธรรม
ให้ย้อนกลับมาเคาะหัวตัวเองมาแล้วเท่าไร
ประเด็นปัญหาที่น่ามองคือ
เป็นไปได้หรือที่การเหวี่ยงบูมเมอแรงทางวัฒนธรรมที่ปฏิบัติติดต่อกันมานับสิบปีนี้จะเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัว
หรือว่ามืออาชีพทั้งหลายจะเร่งรุดไปกับกระแสและความเร็วจนไม่ได้ทบทวนตัวเอง
หรือว่าได้กลายเป็น “คนในร่องในรอย” แบบที่มีร่องก็ไหล มีรอยก็ตามๆ กันไป
พอหงุดหงิดอึดอัดก็บ่นๆ กันไป โดยลืมไปว่าผลของวิถีพฤติกรรมของตนนั่นเองที่ตนบ่นไม่พอใจอยู่
เมื่อครั้งที่คนรุ่นอายุ
35–50 ปี ในวัยนี้ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นวัยรุ่นอยู่
เขาเคยบ่นเบื่อวิพากษ์วิจารณ์เพลงสมัยก่อนว่ามีร้อยเนื้อทำนองเดียว
หนังไทยละครโทรทัศน์ไทยเชย ไม่ลึกซึ้งและน่าเบื่อ
พอถึงวันนี้ที่คนรุ่นอายุ 35–50 ปี สามารถผลักดันแนวเพลงไทย ละครโทรทัศน์ไทย และภาพยนตร์
แล้วเราก็ได้เพลงแบบ “เนื้อเดียวครึ่งทำนอง”
จำนวนมากมายเสียยิ่งกว่าเพลงยุค สุเทพ, สุนทราภรณ์
และได้ดูหนังไทยและภาพยนตร์โทรทัศน์ที่เชยบ้างไม่เชยบ้างเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
วัฒนธรรมบันเทิงและศิลปะนั้น
คือวิถีแห่งวิญญาณและภูมิปัญญาของสังคม มันส่องสะท้อนถึงอดีตและชี้ให้เห็นถึงอนาคต
แต่คนที่ทำงานวัฒนธรรมบันเทิงและศิลปะของเรานั้น
เคยส่องเห็นตนเองซึ่งเป็นผู้กระทำไหม
โดยเฉพาะคนรุ่นอายุ 35–50 ปีในวันนี้ นอกจากบ่นว่าคนรุ่นน้องรุ่นลูก และยุคสมัยของสังคมแล้ว
เขาเคยพยายามหยิบกระจกส่องมองวิถีแห่งวัฒนธรรมของตนเองมากน้อยเพียงไร
เขามองเห็นหรือไม่ว่ามือของใครที่เหวี่ยงมูมเมอแรงทางวัฒนธรรมเช่นนี้ออกไป
เขาพร้อมที่จะมองเห็น
วิพากษ์วิจารณ์ และรับการวิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนตื่นขึ้นมากำหนดแก้ไขและปฏิบัติสู่สิ่งที่ดีขึ้นหรือยัง
เอาเข้าจริงๆ
ตอนที่ข้าพเจ้าผมเริ่มหงอกแซม ข้าพเจ้าก็บอกตัวเองได้ยิ้มๆ ว่า “กรรมใดใครก่อ”
และมันก็เป็นกันทั้งหัวหงอกหัวเริ่มหงอก และหัวดำพอๆ กัน
เราต่างเป็นกระจกที่ส่องไม่ค่อยเห็นตัว
และเป็นผู้ร่วมกำหนดความงามความอัปลักษณ์ที่เราผจญอยู่ไม่ได้มากน้อยกว่ากัน
เราวางทางบางอย่างให้เด็กอนุบาลจนถึงเด็กมหาวิทยาลัยของเราอยู่ในวันนี้
และเราควรรับผลของมันต่อไป
วิธีคิดของเรานั่นแหละ
ที่มีส่วนกำหนดสังคมและฝีเท้าของคนรุ่นน้องรุ่นลูกของเราในวันนี้
และนั่นเท่ากับวิธีคิดของเรามีส่วนกำหนดการคลี่คลายตัวของคนรุ่นลูกรุ่นน้องของเราด้วย
กระจกเงาของยุคสมัยสะท้อนกลับไปกลับมา
แต่เราไม่ค่อยมอง เราไม่ค่อยยอมเห็นเงาสะท้อนของเราในกระจกนั้น
เรืองรอง รุ่งรัศมี
พิมพ์ครั้งแรก : นสพ.ผู้จัดการรายวัน 5-6 สิงหาคม 2538
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น