ใครเป็นลูกหลานจีนที่ได้ไปไหว้สุสานบรรพบุรุษในช่วงเช็งเม้ง
คงจะสังเกตเห็นกระดาษหลากสีริ้วยาวๆ คล้ายๆ กระดาษสายรุ้ง ประดับตามสุสาน
เดี๋ยวนี้บางรายใช้กระดาษสายรุ้งไปประดับก็มี
เรื่องนี้มีที่มาที่ไป เป็นตำนานแต่ครั้งโบราณ
รู้แล้วก็จะหายข้องใจว่า ทำไมเขาต้องเอากระดาษสีเป็นริ้วๆ มาประดับสุสานด้วย
กระดาษสีริ้วๆ นี้ แต้จิ๋วเรียกว่า “โหงวเซ็กจั้ว”
จีนกลางเรียกว่า “อู่ สื้อ จื่อ” แปลว่า กระดาษ 5 สี
ซึ่งความจริงแล้วอาจจะเกิน 5 สีก็ได้ 5
สีในที่นี้อยู่ในนัยยะ “หลายสี” หรือ “หลากสี”
นั่นเอง
เรื่องเล่าว่า ครั้งที่แคว้นฉู่
และแคว้นฮั่น ต่อสู้ช่วงชิงความเป็นใหญ่กันนั้น หลิวปัง แห่งฮั่น
ได้ครองชัยชนะในที่สุด แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์นามว่า ฮั่นเกาจู่
เมื่อหลิวปัง รบชนะแล้ว
ก็ยกทัพคืนสู่แผ่นดินจงหยวน ระหว่างเดินทางไปถึงบ้านเกิด
หลิวปังต้องการที่จะไปไหว้สุสานบิดามารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติความเชื่อของจีน แต่เมื่อไปถึงจริงๆ กลับพบว่า
สงครามได้สร้างความเสียหายให้กับเมืองเกิดของตนเป็นอย่างยิ่ง กำแพงป้อมค่ายพังทลาย
บ้านเมืองรกร้าง ที่สุสาน ป้ายศิลาหน้าหลุมศพล้วนแตกหักทรุดโทรม
ตัวอักษรที่จารึกไว้ที่ป้ายศิลาแต่ละหลุมนั้นสึกกร่อนเลอะเลือน
จนแยกแยะไม่ได้ว่าหลุมใดเป็นสุสานของใคร
เมื่อหลิวปังพบสภาพสุสานเป็นเช่นนี้
ก็โศกเศร้าเป็นอย่างมาก เฝ้าแต่คิดอยู่ในใจว่า ชัยชนะยิ่งใหญ่หรือก็พิชิตมาได้
แต่สุสานของบิดามารดานั้น ไยจึงไม่อาจหาได้พบ คร่ำครวญด้วยความเศร้าอยู่ในใจ
แล้วหลิวปังก็ร่ำไห้ และเปล่งเสียงอธิษฐานต่อฟ้า ขอใช้วิธีโยนกระดาษสีเสี่ยงทาย
หากว่าริ้วกระดาษหลากสีที่โยนขี้นสู่ฟ้านี้ร่วงลงมาสู่พื้น
ใบใดที่ร่วงลงบนหลุมศพบิดามารดา ขอให้กระดาษสีใบนั้นไม่ปลิวลมไปเช่นใบอื่นๆ
อธิษฐานดังนั้นแล้ว
หลิวปังก็โยนริ้วกระดาษสีเสี่ยงทายนั้นขึ้นสู่ฟ้า
ลมพัดหอบกระดาษสีปลิวไปทั้งฟ้า ใบที่ร่วงลงดิน
เมื่อลมพัดมาก็ปลิวไปอีก
มีริ้วกระดาษสีเพียงใบเดียวที่ร่วงลงมายังหลุมฝังศพหลุมหนึ่ง
โดยไม่ถูกลมพัดปลิวต่อไปไหน กระดาษนั้นติดนิ่งกับดินบนสุสานเหมือนยึดติดไว้
หลิวปังรีบเข้าไปสำรวจหลุมศพที่กระดาษสีริ้วนั้นติดอยู่
ก็พบว่าเป็นหลุมฝังศพบิดามารดาของตนจริง จึงได้ทำความสะอาดสุสานนั้นโดยรอบ
แล้วจัดการเซ่นไหว้คารวะแสดงความกตัญญู
ตั้งแต่นั้นมา ทุกปีในช่วงเช็งเม้ง
ผู้คนก็จะไปไหว้คารวะสุสานบรรพบุรุษ และทำความสะอาดรอบๆ บริเวณสุสานด้วย นอกจากจะถอนหญ้าที่ขึ้นรกออกไป
เขายังพากันนำริ้วกระดาษสีมาประดับสุสาน โดยใช้ก้อนหินเล็กๆ วางทับกระดาษสีริ้วๆ
นั้น
ริ้วกระดาษสีนั้น
นอกจากประดับสุสานให้ดูสดใสสวยงามแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์แสดงให้รู้ว่า
สุสานนั้นมิได้เป็นหลุมศพของคนอนาถาไร้ญาติขาดมิตร
หากแต่มีลูกหลานที่มาเซ่นไหว้คารวะ แสดงความกตัญญูรู้คุณ
ประเพณีการประดับริ้วกระดาษสี
ที่เริ่มต้นจากตำนานการเสี่ยงทายของหลิวปัง ค่อยๆ แพร่ขยายออกไป
กลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อมาตราบปัจจุบัน
หากใครมีโอกาสไปไหว้สุสานของชาวจีนในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง
ไม่ว่าในแผ่นดินไหนๆ ก็จะเห็นว่ามีปฏิบัติเหมือนๆ กัน
นอกจากจะประดับริ้วกระดาษสีและถอนหญ้าที่ขึ้นรกแล้ว
ชาวจีนยังเตรียมสีไปเขียนป้ายหน้าหลุมศพให้สดใสชัดเจน
เพื่อว่าปีต่อไปจะได้ค้นหาหลุมศพบรรพบุรุษได้ง่าย
หากเป็นสุสานที่มีพื้นที่ว่างมากสักหน่อย
เขามักปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลุมศพจนดูงามตา
เช็งเม้งเป็นวันสำคัญมากวันหนึ่งของชาวจีน
คติความเชื่อเรื่องกตัญญูรู้คุณนั้น
มีส่วนสำคัญให้ผู้คนยึดถือปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีของวันเช็งเม้งอย่างเคร่งครัด
ในเมืองจีนนั้น
นอกจากจะไปเซ่นไหว้คารวะสุสานบรรพบุรุษแล้ว
ชาวจีนบางคนยังไปทำความสะอาดและเซ่นไหว้สุสานของกษัตริย์ฮว๋างตี้
เพราะชาวจีนถือกันว่า พวกตนทุกคนต่างสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ฮว๋างตี้และเหยนตี้
คำพูดที่ว่า
ชาวจีนนั้นคือลูกหลานแห่งจักรพรรดิเหลือง (อึ่ง ตี้ เกี๋ย ซุง – แต้จิ๋ว หรือ เหยน
ฮว๋าง จื่อ ซุน – จีนกลาง) ฝรั่งแปลว่าคำนี้ว่า Son
of the yellow Emperor ในที่นี่ Son หมายถึง
ลูกหลานผู้สืบเชื้อสาย มิได้หมายเพียง “บุตร” ในความหมายแคบเท่านั้น
มิได้เป็นแต่คำพูดลอยๆ
มีชาวจีนจำนวนหนึ่ง
ยึดถือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยการไปเซ่นไหว้ยังสุสานฮว๋างตี้
ซึ่งพวกเขาถือเป็นต้นบรรพบุรุษของตนนั่นเอง
เรืองรอง รุ่งรัศมี
1999
พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ กิ่งไผ่และดวงโคม สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์
ฉบับวันที่ 3-9 เมษายน พ.ศ.2542
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น