ค้นหาบทความ

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พลัดหลง


 เดินลากกระเป๋าล้อลากไปตามไปตามกลางบันไดกลางสะพานลอยคนข้ามถนน ซำเหมาสองคนจากเมืองไทยพบว่า พวกเขาไม่บ่นว่าเหมือนเวลาเดินข้ามถนนที่เมืองไทย
“...คนเราทำไมจึงมักเปรียบเทียบสิ่งที่ไม่ดีในประเทศของตน กับสิ่งที่ดีในประเทศคนอื่นเสมอ...ซำเหมา เอาสนุก คิดอยู่ในใจ
แม้สะพานลอยคนข้ามของเซินเจิ้นจะไม่ชันมาก และมีทางลาดตรงกลางให้ลากกระเป๋าล้อลากเป็นการทุ่นแรง แต่เขายังคงรู้สึกเหนื่อย เนื่องจากร่างกาย และสังขาร
ท้องถนนในช่วงเวลาทำงานของวันทำงานไม่เงียบเหงาและไม่ถึงกับพลุกพล่านวุ่นวาย ผู้คนไม่ถึงกับมีสีหน้าบึ้งตึง แต่ก็มิได้ถึงกับเอื้อเฟื้อ ยิ้มแย้ม และไม่ได้เป็นมิตรอย่างสัมผัสได้
คงเป็นธรรมดาของเมืองใหม่ ที่มีคนพลัดถิ่นจากที่ต่างๆ ของเมืองจีน มาเซินเจิ้นเพื่อแสวงหาเงินทอง  และโอกาสของชีวิต
แล้วเขาล่ะ...

ซำเหมาเอาสนุก หาข้ออ้างให้กับตัวเอง ว่าเขามาหาซื้อหนังสือและซีดี มาหาหนังสือ หนัง และเพลง เพื่อใช้เป็นข้อมูลและใช้เป็นอุปกรณ์ในการทำงาน
แต่หนังสือ หนัง และเพลงนั้น เขาพอหาซื้อเอาจากบ้านเมืองที่อาศัยอยู่ได้ แม้จะแพงกว่า หาได้ไม่สะดวกนัก แต่ก็ไม่ถึงกับขาดแคลนจนหาไม่ได้
หรือว่าเขา เพียงแต่อยากออกไปข้างนอก

กว่า 30 ปีมาแล้ว ที่เขาสัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกอยากออกไปข้างนอก
ตอนอายุน้อย คนเรารู้สึกอยากออกจากบ้านเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งเคยพูดคำนี้ และเขาจดจำมันไว้โดยไม่ต้องใช้ความตั้งใจ
ออกไปข้างนอกแล้วรู้จักโต... ซำเหมา เอาสนุก คิดถึงหอยทาก ปูเสฉวน และรอยแผล...
ซำเหมา เอาสนุก เติบโตมาจากเด็กยากจนในย่านคนจน เขาเคยพาตัวเองไปให้พ้นจากย่านคนจน ดิ้นรนขลุกขลักมาจนถึงบัดนี้ เขาไม่ได้รู้สึกกับคำว่ายากจนหรือร่ำรวยต่อไป บัดนี้เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในย่านที่พักอาศัยเดิม และมิได้ร่ำรวย แต่แปลกที่เขาไม่รู้สึกว่าตนเองยากจนน่าสงสาร
บาดแผลเป็นอาภรณ์ของชีวิต เขาคิดถึงคำหนึ่งที่เขาชอบ เป็นคำของนักเขียนอีกคนหนึ่ง เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าของเขาเหมาะสมกับลมฟ้าอากาศที่ตนพบ
ลมหนาวต่างแดนพัดมา เขากระชับเสื้อแจ๊กเก็ตเล็กน้อย
เดินไปกับลมหนาว พลันเขารู้สึกเหมือนว่าได้ไปเดินอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ในอีกเวลาหนึ่ง

พี่ชายสบายดีหรือ?” ซำเหมา เอาสนุก แว่วได้ยินบทสนทนาเก่าในครั้งอดีต
ดี... เขาตอบ
ทำไมอยากมาเรียนที่นี่?...” เพื่อนของพี่ชายถาม
“...” ซำเหมา เอาสนุก เมื่อครั้งยังเป็นซำเหมา หม่นหมองและเคร่งเครียด ไม่สามารถจะตอบออกมาได้  ในเวลานั้น เขาจนทั้งความคิด ถ้อยคำ และความรู้ในภาษาจีน
คืนนี้จะพาออกไปเที่ยว ไปกินข้าว แล้วพรุ่งนี้จะพาไปส่งโรงเรียน...
นั่นเป็นการเดินทางออกไปข้างนอกจริงๆ เป็นครั้งแรกของซำเหมา เอาสนุก ครั้งนั้นเขาเอาแต่เคร่งเครียด จริงจัง หม่นหมองและสนุกไม่เป็น ลาออกจากงาน เดินทางไปอีกดินแดนหนึ่ง แต่กับเดินวนเวียนอยู่ดินแดนภายใน
บางทีนั้นอาจเป็นการเดินทางครั้งสำคัญ เป็น รอยสักสำคัญรอยแรก และเป็น รอยแผลแรกที่ทำให้รู้ว่าโลกกว้าง ลมแรง และจำเป็นต้องเติบโต

ลมหนาวพัดมา ไม่หนาวมาก ไม่มีฝนปรอยมาก เหมือนการก้าวเท้าออกสู่โลกภายนอก ทว่า พลัดหลงเข้าไปในโลกภายในครั้งอดีต เขายกมือขึ้นลูบต้นคอของตนเอง ไม่มีสร้อยคอของแม่ ไม่มีแหวนวงเท่าเส้นด้ายที่นิ้ว เขามองดูมือตัวเอง และมองดูป้ายตัวหนังสือจีนที่ติดอยู่ตามหน้าอาคาร ห้าง ร้าน เป็นตัวหนังสือจีนคนละระบบเขียน แตกต่างจากที่เขาเรียนในโรงเรียน เขาอ่านมันได้จากการพยายามฝึกอ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากเรียนมาในอีกระบบหนึ่งจนพอจะก้าวเท้าต่อไปได้
ต้าเกอ เป็นอย่างไรบ้างวันนี้ เขาคิดถึงเพื่อนของพี่ชายขึ้นมา ต้าเกอ เป็นคนจีนเวียดนาม แต่งงานกับต้าส่าวซึ่งเป็นคนจีนเกาหลี ครั้งหนึ่ง เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วทั้งสองเคยช่วยเหลือเกื้อกูล ลูกจีนเกิดเมืองไทยที่ตัดสินใจทิ้งงานไปเรียนภาษาจีนที่ไต้หวัน
นี่เป็นรอยสักหรือรอยแผล นี่คือการเดินทางที่แท้จริงเป็นครั้งแรก เป็นการออกไปข้างนอก และกลับไปข้างใน
ซำเหมา เอาสนุก เดินไปในอดีตและปัจจุบัน ไม่ทันสังเกตว่าเงาทอดไปทางใด เขาเดินอยู่ไม่ไกลจากซำเหมา ไม่เอาไหน ทว่าเหมือนพลัดหลงกันแสนไกล

เรืองรอง  รุ่งรัศมี
4/2005

พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ สายลมในกิ่งหลิว เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 667 วันที่ 14 –20 มีนาคม 2548

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น