การแบ่งผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่เป็นรุ่นต่างๆ
แพร่หลายจนกลายเป็นประเพณีขึ้นมาในปัจจุบัน มาจากการเรียกกลุ่มผู้กำกับ “รุ่นที่ 5” เป็นรุ่นแรก
แล้วผู้กำกับรุ่นอื่นๆ คือใคร
และเป็นอย่างไร
ข้อมูลจากนิตยสารด้านภาพยนตร์จีน
ตามลักษณะเฉพาะทางสุนทรียศาสตร์ที่พวกเขานำมาใช้กับภาพยนตร์ที่เขาสร้าง
สามารถแบ่งได้ดังนี้
รุ่นที่ 1 คือ
กลุ่มที่บุกเบิกให้มีการสร้างภาพยนตร์จีนขึ้น โดยยึดหลักสุนทรียศาสตร์ของภาพยนตร์
กลุ่มนี้ประกอบด้วย เจิ้งเจิ้งชิว, จางเสอชวน, โหวย่าว
เป็นอาทิ
รุ่นที่ 2
มีสมาชิกเป็นผู้กำกับที่อยู่ในช่วงทศวรรษ 1930-1940 อันประกอบด้วย เซี่ยเอี่ยน,
ไช่ฉู่เซิง, อู๋หย่งกัง, เฟ่ยมู่, เสิ่นซีหลิง
เป็นต้น
รุ่นที่ 3 หมายถึง กลุ่มผู้กำกับช่วงทศวรรษ 1950 อันเป็นภายหลังจากที่ได้มีการสถาปนาประเทศจีนขึ้นใหม่แล้ว
ผู้กำกับรุ่นนี้มี สุ่ยฮว๋า, เฉิงอิ่น, ชุยเหวย, เจิ้งจวิ้นหลี่,
เซ่จิ้น เป็นต้น
หนังของคนทำหนังกลุ่มนี้
ถือเป็นภาพยนตร์ของฝ่ายซ้ายได้โดยแท้
เพราะยึดถือคติทางศิลปะแบบสังคมนิยมและอัตถนิยม มักเป็นภาพยนตร์ที่มุ่งสะท้อนเรื่องราวชนชั้นกรรมาชีพ
คือ กรรมกร ชาวนา และนักปฏิวัติ
รุ่นที่ 4 ผู้กำกับรุ่นนี้คือ
นักศึกษาด้านภาพยนตร์ที่สำเร็จการศึกษาช่วงทศวรรษ 1960 แต่เริ่มเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์ในช่วงต้นทศวรรษ
1980
ผู้กำกับกลุ่มนี้ประกอบด้วย อู๋อี๋กง, จางหน่วนซิน,
เถิงเหวินจี้, เซ่เฟย เป็นต้น
พวกเขามักทำหนังที่มีลักษณะของงานบันทึกความเป็นจริง โดยมีความคิดแบบนักมนุษยนิยม
รุ่นที่ 5 คือ
ผู้กำกับภาพยนตร์จีนที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในระดับนานาชาติในช่วงปัจจุบัน
พวกเขาเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1982 เป็นต้นมา
เป็นคนสร้างหนังที่เติบโตมากับการปฏิวัติวัฒนธรรม
และเริ่มก่อรูปก่อร่างในวงการภาพยนตร์ภายหลังจากนั้น
ผลงานของผู้กำกับกลุ่มนี้มักจะได้รับการกล่าวขวัญถึง หรือได้รับรางวัลต่างๆ
ในงานเทศกาลภาพยนตร์หรือการประกวดภาพยนตร์ภายนอกประเทศจีน ถือได้ว่าเป็นกลุ่มผู้กำกับที่ชื่อและผลงานกำลังขายได้ดีในตลาดภาพยนตร์ปัจจุบัน
ผู้กำกับที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มรุ่นที่ 5 มี เฉินข่ายเกอ,
จางอี้โหมว, เถียนจวงจวง, อู๋จื่อหนิว, หลี่ซ่าวหง
เป็นต้น
ภาพยนตร์ของผู้กำกับในรุ่นที่ 5
ได้เข้ามาฉายในโรงหนังบ้านเราหลายเรื่อง
และดูเหมือนจะเป็นที่รับได้ของคนดูหนังในเมืองไทยด้วย เช่น เรื่อง “จวี๋โต้ว”
(JU DOU), “ลาก่อน แม่นางสนมข้า” (FAREWELL TO
MY CONCUBINE) (ขออนุญาตไม่ใช้ชื่อไทยตามโรงหนัง
เพราะรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงกับการตั้งชื่อหนังจีนในยุคปัจจุบัน อีกประการหนึ่ง
การแปลชื่อหนังตามชื่อเรื่องภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษ
น่าจะมีประโยชน์กว่าในการศึกษาและอ้างอิงเมื่อวันเวลาผ่านไป)
ภาพยนตร์อย่างเรื่อง “โคมแดงแขวนเอาไว้สูงๆ”
(RAISE THE RED LANTERN) หรือ “แจวเอย แจว!
แจวถึงสะพานที่บ้านยาย” (SHANGHAI TRIAD) และสองเรื่องที่เอ่ยถึงข้างต้น
ล้วนแต่เคยเห็นมีเป็นวิดีโอวางขายอยู่ทั่วไป
เพียงแต่บางเรื่องคำบรรยายไทยอาจจะคลาดเคลื่อนไปจากความหมายเดิม
ให้รู้สึกรำคาญใจเวลาชมอยู่บ้าง
ดูเหมือนว่าหนังของผู้กำกับรุ่นที่ 5 เรื่องอื่นๆ
ก็พอจะหาได้จากแหล่งที่พวกหลงใหลงานภาพยนตร์เขาไปเสาะหากัน
แล้วก็อย่าตะขิดตะขวงใจกับการซื้อเทปผีกันเลย
เพราะถ้ารอหาที่มีลิขสิทธิ์ก็อาจจะรอเก้อ
หรือเทปลิขสิทธิ์บางเรื่องก็แปลคำบรรยายไทยผิดพลาด ดังกรณีเรื่อง “ลาก่อน
แม่นางสนมข้า” ที่ข้าพเจ้าเพิ่งดูผ่านตามาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง
รุ่นที่ 6 เป็นกลุ่มรุ่นน้องของผู้กำกับรุ่นที่
5 พวกเขาสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยการภาพยนตร์ปักกิ่ง
ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เริ่มเสนอผลงานสู่สาธารณะในช่วงทศวรรษ 1990 ปัจจุบันแม้ว่าผู้กำกับรุ่นนี้จะยังมิได้มีชื่อเสียงโด่งดังนัก
แต่ก็เป็นที่จับตามองของวงการภาพยนตร์โลกแล้ว
ผู้กำกับในกลุ่มรุ่นที่ 6 ประกอบด้วย หวางเสี่ยวซ่วย,
หลี่จวิ้น, เหอเจี้ยนจวิน, หูเสวี่ยหยาง, จางหยวน, ก่วนหู,
โหลวเย่, หวางญุ่ย, ลู่เสวียฉาง, หม่าเสียวหย่ง, อูตี๋
เป็นต้น
อาจคาดการณ์ได้ว่าในช่วงระยะเวลาข้างหน้านับจากนี้ไป
กลุ่มผู้กำกับรุ่นที่ 6 คงจะค่อยๆ
แสดงสถานะของตนให้ประจักษ์ชัดต่อสายตาชาวโลกและวงการภาพยนตร์
บางทีชื่อของผู้กำกับรุ่นที่ 6 อาจเป็นรุ่นต่อไปที่จะได้ร่วมงานกับกลุ่มทุนนอกประเทศ
ดังเช่นที่รุ่นพี่เคยถากถางหนทางเอาไว้
ทั้งภาพยนตร์จีนของกลุ่มผู้กำกับรุ่นที่ 5 และผู้กำกับรุ่นที่
6 น่าจะหาได้ไม่ยากที่ฮ่องกง ในรูปของแผ่นเลเซอร์ดิสก์
วิดีโอ วิดีโอซีดี
ภาพยนตร์จีนมีประวัติยาวนานมาถึง 90 ปี เริ่มมีการสร้างหนังในเมืองจีน
ภายหลังจากหนังเรื่องแรกของโลกราวๆ 10 ปี และแม้ว่าเอกสารข้อมูล
ตลอดจนถึงฟิล์มภาพยนตร์เก่าๆ ของจีน จะมิได้มีอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
แต่การมีสถาบันการศึกษาด้านภาพยนตร์โดยตรงอย่างเป็นทางการ ก็ช่วยให้ข้อมูลต่างๆ
ถูกรวบรวมไว้ใช้เพื่อการศึกษา อันเป็นผลให้ภาพยนตร์ (จำนวนหนึ่ง)
ของจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นผลงานที่มี “ราก” มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน
ความไม่ใช่ “มวยวัด” เช่นนี้เองที่เอื้อให้เกิดการเติบโตที่มั่นคงแข็งแรงต่อภาพยนตร์จีนในปัจจุบันและอนาคต
ผู้รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภาพยนตร์จีนกล่าวว่า
ยุคทศวรรษ 1930-1940 และทศวรรษ 1980
เป็นช่วงเวลาอันสำคัญยิ่งของวงการภาพยนตร์จีนในแผ่นดินใหญ่
ยุคทศวรรษ 1930-1940 นั้น เป็นช่วงเวลาที่สามารถสถาปนาอาณาจักรแห่งภาพยนตร์ในประเทศจีนได้อย่างมั่นคง
มีตำแหน่งแห่งที่ในฐานะหนึ่งของศิลปะที่ผู้คนยอมรับทั่วไป
ช่วงทศวรรษ 1980
เป็นช่วงเวลาที่สามารถสถาปนาที่ทางของภาพยนตร์จีนต่อโลกภายนอก เป็นช่วงเวลาที่คนทำหนังจีนในแผ่นดินใหญ่สามารถยืนยันถึงตัวตนและความมีอยู่ของภาพยนตร์จีนต่อชาวโลกได้
ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา
ภาพยนตร์โดยกลุ่มผู้กำกับรุ่นที่ 5
ของจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไปคว้ารางวัลจากประเทศต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมืองไทยนั้นคุ้นเคยกับภาพยนตร์จีนมานานหลายสิบปี
ก่อนที่ภาพยนตร์ของบริษัท ชอว์ บราเธอส์ แห่งฮ่องกง
จะเฟื่องฟูเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในเมืองไทย ช่วงราวทศวรรษ 1960
ภาพยนตร์โดยบริษัท ภาพยนตร์ฉางเฉิง
ก็เคยเป็นที่ชื่นชมของคนดูหนังจีนยุคเก่าในเมืองไทย นอกจากนี้ ภาพยนตร์จีนจากแผ่นดินใหญ่เรื่องอื่นๆ
ก็เคยฉากแพร่หลายตามโรงหนังทั่วไปในเมืองไทย ก่อนที่จะค่อยๆ ถูกรุกคืบหนังบู๊กวางตุ้ง
(ซึ่งสร้างในฮ่องกงยุคก่อน ชอว์ บราเธอส์เฟื่อง) หนังรักจากไต้หวันก็เคยครองใจนักดูหนังจีนที่เป็นแฟนประจำของโรงภาพยนตร์กรุงเกษม
(ปัจจุบันถูกทุบทิ้งไปแล้ว) ช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 ภาพยนตร์ฝ่ายซ้ายอย่างเรื่อง “ลูกชาวนา” ก็เคยเข้ามาฉายแถบเยาวราช
แล้วยังมีภาพยนตร์งิ้วแต้จิ๋วที่ครองใจคนดูหนังรุ่นจีนอพยพอีก
ปัจจุบัน กิจการภาพยนตร์จีนทั้งจากจีนแผ่นดินใหญ่
ฮ่องกง และไต้หวัน ต่างก็กำลังเป็นที่จับตามองของวงการภาพยนตร์โลก
ภาพยนตร์ฮ่องกงครองตลาดไปทั่วโลก จนมีคำกล่าวยกย่องว่า ฮ่องกง คือ ฮอลลีวู้ด
แห่งตะวันออก
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากกับภาพยนตร์แนวตลาด
คนทำหนังฮ่องกงจำนวนหนึ่ง กำลังรู้สึกท้าทายกับการทำหนัง
ซึ่งเป็นที่ยอมรับในแง่ศิลปะ
ทางด้านไต้หวัน
หลังจากการทำหนังตลาดอย่างสุกเอาเผากินช่วงระยะเวลาหนึ่ง
จนแทบทำลายธุรกิจภาพยนตร์ในประเทศเสียย่อยยับ ผู้คนก็เริ่มได้สติคืนมา
ประกอบกับรัฐบาลของเขาเห็นคุณค่าของศิลปะแขนงนี้ และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ปัจจุบัน ภาพยนตร์ไต้หวันจำนวนหนึ่งก็ยกระดับคุณภาพขึ้นอย่างน่าพอใจ
ด้านจีนแผ่นดินใหญ่นั้น นอกจากผู้กำกับรุ่นที่ 4 และรุ่นที่ 5 ที่ยังคงสร้างงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้กำกับรุ่นที่ 6 ก็กำลังเติบโตและทยอยสร้างผลงานออกมาพิสูจน์ตัวเอง
อีกดินแดนหนึ่งที่อาจก้าวเข้ามามีบทบาทในวงการภาพยนตร์จีน
คือ สิงคโปร์ ปัจจุบัน วงการภาพยนตร์โลกยังคงค่อนข้างมองข้ามสิงคโปร์ไป
อาจเพราะเนื่องจากวิธีคิดแบบเด็กดีหรือคนเรียบร้อยของชาวสิงคโปร์
ที่เป็นข้อจำกัดต่อการสร้างสรรค์งานทางศิลปะให้แหลมคมและมีพลังเข้มข้น
แต่สิงคโปร์วันนี้ก็เริ่มก้าวออกจากแผ่นดินผืนเล็กๆ ของตน เพื่อแสวงหาความร่วมมือกับการทำหนังร่วมกับฮ่องกงบ้างแล้ว
บางทีสิงคโปร์อาจก้าวข้ามข้อจำกัดของตนก็ได้ในวันข้างหน้า
เรืองรอง รุ่งรัศมี
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกใน “เดือน... ดาว... ในเงาฟิล์ม” แพรวเอนเตอร์เทน
พ.ศ.2542
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น