ค้นหาบทความ

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ก่อนงิ้วลาโรง




ก่อนงิ้วลาโรง
สนธยากาลของอีกส่วนเสี้ยว
วัฒนธรรมจีนในไทย


เสียงกลองล่อโก๊ะที่ดังระรัวเร้าเร่งเลือนหายไปจากความทรงจำครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไร ข้าพเจ้านึกไม่ออก จนเย็นย่ำวันหนึ่งที่ชีวิตเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย ขณะเดินเตร็ดเตร่ไปตามบาทวิถีที่คุ้นเคย เสียงนั้นจึงได้ดังแว่วเข้ามาในจินตนาการ
เดินผ่านโรงงิ้วยามสนธยาตรงศาลเจ้าที่คุ้นเคย แผงขายอาหารเจเริ่มคึกคักด้วยจำนวนผู้ซื้อและผู้ขาย โรงงิ้วภายในศาลเจ้าเงื่องหงอยซึมเซายิ่งขึ้นทุกปี ยิ่งเข้าสู่กาลโพล้เพล้พลบค่ำเช่นนี้ ยิ่งชวนให้รู้สึกหมองเศร้าอ้างว้าง
ผู้คนที่มาไหว้เจ้าต่างนุ่งห่มกันด้วยชุดขาว แม้จะไม่บางตาจนชวนให้หมองหม่นเช่นโรงงิ้ว แต่ก็มิได้คึกคักสดใส แน่นอนว่าการมาไหว้เจ้ายังศาลเจ้านั้นต้องการความสงบสำรวม แต่ก็น่าจะสำรวมโดยแฝงความสดใสแห่งพลังชีวิตได้มากกว่านี้
อาจเป็นเพราะคนที่มาไหว้เจ้าส่วนใหญ่เป็นคนเลยวัยกลางคนที่มากันคนเดียวกระมัง ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นภายในใจ ไม่มีภาพของการอุ้มลูกจูงหลาน ไม่มีคนวัยหนุ่มสาวประคองพยุงคนแก่ ไม่มีความสนุกซุกซนของเด็กๆ ไม่มีเสียงร้องไห้โยเยที่ไม่ได้ดั่งใจของเจ้าหนูตัวน้อย สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกเหมือนอากาศตรงศาลเจ้าแห่งนี้เปลี่ยนไป เหมือนจะทำให้หายใจได้ไม่เต็มปอด เหมือนจะทำให้รู้สึกโหวงๆ ภายใน ยิ่งเมื่อหันมามองแสงไฟหมองหม่นที่โรงงิ้วยามเย็นที่ยังคงเงียบงัน ทั้งที่ควรจะเป็นเวลากระหน่ำย่ำกลองตูมๆ เป็นสัญญาณโหมโรงบอกให้รู้ว่า อีกสักครู่ใหญ่จะมีมหรสพที่ตรงนี้ ความรู้สึกเหมือนยิ่งเดินพลัดหลงไปในสนธยากาลโดดเดี่ยว

ใต้โรงงิ้ว นักแสดงเริ่มพอกแป้งแต่งหน้ากันบ้างแล้ว แสงไฟมอซอซึมเซาเช่นเดียวกับโรงงิ้วที่ฉากงดงามยังไม่กางลงมา ระหว่างแผงขายอาหารเจ ริมบาทวิถีหน้าศาลเจ้าและโรงงิ้วในศาลเจ้า เหมือนมีฉากนามธรรมคั่นแบ่งโลกทั้งสองออกจากกัน โลกของการทรุดโทรมและโลกของการเติบโต
หลายปีมานี้ผู้คนรับรู้ถึงคุณค่าของอาหารจากพืชผักจนเป็นกระแสนิยม ความรู้เรื่องการรับประทานอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์เป็นที่กล่าวขวัญและปฏิบัติตามอย่างแพร่หลาย การรับประทานอาหารมังสวิรัติกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้แผงอาหารเจ ร้านอาหารเจ ภัตตาคารอาหารเจ มีลูกค้าที่แน่นอน และมีแนวโน้มเป็นธุรกิจที่เติบโตทำกำไรไม่น้อย คนกินอาหารเจรุ่นหนุ่มสาวมีมากขึ้นพร้อมๆ กับที่อากง อาม่า อาเจ็ก อาแปะ ร่วงโรยไปดุจดั่งใบไม้ร่วงโรยจากต้นในยามชิวเทียนอ้างว้าง
การกินเจเพื่อสุขภาพกับการถือศีลกิน เจทดแทนตำแหน่งกันได้ไหม คุณค่าเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ อาหารเจที่แสนอร่อย ซื้อหาสะดวก กับอาหารเจที่ค่อยๆ เคี่ยวค่อยๆ ต้มด้วยไฟอ่อนจากฝีมืออาม่า อาอี๊ที่บ้าน คุณค่าทางใจต่างกันแค่ไหน ยุคสมัยอันเร่งรีบและสังคมเงินตราเหลือหัวใจละเอียดอ่อนของคนให้รับรู้ได้ไหม การกินอาหารเจสำเร็จรูปกับการปรุงอาหารพิเศษด้วยความตั้งใจ ย่อมไม่ใช่สิ่งเดียวกันอย่างแน่นอน หากแต่ใครจะรู้สึกรับรู้

เดินย่ำไปในสนธยากาลโดดเดี่ยว ข้าพเจ้าย่ำไปริมบาทวิถีจากศาลเจ้าแรกไปตามย่านคนจีน ตะวันคล้อยดวงลงทุกที สินค้าในร้านและวัฒนธรรมการกินอยู่ของพวกเขาแปลกแยกกับอากง อาม่าของเขามากขึ้นทุกที
ข้าพเจ้ามองดูแผงอาหารเจ ศาลเจ้า โรงงิ้ว และผู้คนที่มาไหว้เจ้าในยามสนธยกาลด้วยความรู้สึกหลากหลาย ข้าพเจ้านิ่งมองดูคนและเห็นหลืบเงาชีวิตทางวัฒนธรรมของสังคมที่กำลังเปลี่ยนไป
โลกยุคใหม่แล้ว อะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลง อะไรๆ ก็ต้องพัฒนาหาสิ่งที่ก้าวหน้ากว่า ฝีเท้าต้องเร่งให้เร็ว มุ่งไปข้างหน้า เงานั้นมักเป็นสิ่งที่ทอดอยู่ข้างหลัง จึงไม่มีเวลาเหลียวหลังไปมอง ใจไม่ว่างพอที่จะเอาใจใส่ แสงวิทยาศาสตร์ที่สว่างไสวบางครั้งก็ทำให้เราลืมว่า เงาเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กันของความสว่าง การลืมเลือน ละเลย หลายครั้งแปลว่าคือว่าไม่มีความไม่รู้ หลายครั้งก็แปลความหมายได้ว่าคือการไม่มีเช่นกัน

ยามสนธยากาลโพล้เพล้ของยุคสมัย โลกกำลังหมุนไปสู่ยุคที่ไร้เงา มีเพียงแต่แสงสว่างที่หมุนรอบตัวเองเร็วขึ้นทุกที เร็วจนผู้คนรู้สึกไม่ว่างพอที่จะมีความรู้สึกตัวในชีวิต
ย่ำเดินไปถึงอีกศาลเจ้าหนึ่งขณะแสงแดดค่อยๆ อ่อนแรง ถัดจากยามพลบก็จะล่วงสู่เวลาค่ำคืน
แสงไฟของโรงงิ้วที่ศาลเจ้านี้สว่างไสวขึ้นแล้ว ม่านสีแดงปักเลื่อมล้อแสงวูบวาบ ลานหน้าโรงงิ้วกว้างขวางกว่าที่ศาลเจ้าแห่งแรกมาก เก้าอี้เปล่าตั้งอยู่เรียงราย เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว เสียงกลองโหมโรงของโรงงิ้วยังมิได้แว่วมา แผงขายอาหาร แผงขายขนม แผงขายข้าวโพดปิ้ง ติดไฟวอมแวม ผู้คนแวะรับประทานอาหารคนแล้วคนเล่า แต่กลองโรงงิ้วก็ยังมิได้กระหน่ำโหมโรง ไม่มีใครไปจับจองที่นั่งรอคอยการแสดงของงิ้วคืนนี้เสียแต่เนิ่นๆ เก้าอี้ว่างเปล่าตั้งอยู่เรียงราย
งิ้วไม่ใช่มหรสพที่น่าตื่นเต้นอีกแล้วเมื่อทุกครอบครัวมีโทรทัศน์มีวีดิโอเป็นโรงหนังส่วนตัวที่บ้าน เมื่อไม่มีคนฟังมันรู้เรื่อง และมีคนเข้าถึงลีลางดงามของมันน้อยลงทุกที มันจึงกลายเป็นความเคยชิน ประเพณี พิธีกรรม และหน้าตา แทนที่จะเป็นมหรสพความบันเทิงอย่างที่เคยเป็นและควรจะเป็น
รอคอยเวลางิ้วจะเริ่มแสดงอยู่ที่ศาลเจ้า ข้าพเจ้าพบว่าคนที่มาไหว้เจ้ามิได้มากันเป็นกลุ่ม ผู้คนต่างคนต่างมาเสียเป็นส่วนใหญ่ น้อยรายที่ผู้อาวุโสจะมีลูกหลานล้อมหน้าล้อมหลัง ข้าพเจ้าสัมผัสถึงความเคว้งคว้างในแววตาและท่าทางของผู้เฒ่าบางคน ข้าพเจ้ารู้สึกเคว้งคว้างอยู่ภายในใจของตน

ล่วงสู่ยามค่ำแล้วจริงๆ แสงธูปเรื่อๆ และแสงเทียนวูบไหวในศาลเจ้าจะส่องสว่างได้สักเพียงใด ทั่วทุกหนแห่งแสงกล้าของวิทยากรใหม่สาดสว่างจ้า การจัดตำแหน่งแสงไฟยุคใหม่ลบเงาที่อาจเกิดขึ้นเสียด้วยการเพิ่มตำแหน่งดวงไฟ
รอคอยอยู่ที่ม้านั่งยาวริมผนังของศาลเจ้า รอคอยเวลาที่งิ้วตรงลานกว้างฝั่งตรงข้ามเริ่มการแสดง สายตามองไปที่สาธุชนมาจุดธูปไหว้เจ้าอย่างไม่ตั้งใจ
คนแล้วคนเล่า คนแล้วคนเล่า พวกเขามักมาคนเดียว มักจะเป็นคนเลยวัยกลางคน เขาพากันจัดของไหว้ที่โต๊ะเงียบๆ รินเติมน้ำมันที่ตะเกียงศาลเจ้า จุดธูปกำหนึ่ง ปักเรียงไปทีละกระถาง ไหว้และก้มกราบ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงช่องว่างระหว่างผู้คนกับผู้คน
หญิงสาวคนหนึ่งจุดธูปอยู่ตรงตะเกียง เธอถามชายอาวุโสว่าจะต้องใช้ธูปกี่ดอก ชายอาวุโสซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ใกล้บอกว่าต้องใช้ธูป 29 ดอก ปักเรียงไปทีละกระถาง จากทางนั้นถึงทางนี้ เธอนับกำธูปที่เธอกำลังจ่อไฟอยู่ที่ตะเกียง
เด็กชายจุดธูปกำหนึ่ง เขาไม่ได้นับจำนวน คนฟังภาษาจีนแต้จิ๋วที่ชายอาวุโสสอนบอกหญิงสาวไม่ออก เขาคงเป็นลูกหลานที่มากับผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง เด็กชายจุดธูปเสร็จก็เดินไปปักธูปจากกระถางธูปหนึ่งสู่อีกกระถามธูปหนึ่ง เขาปักธูปไปตามวิถีของเขา ยกมือไหว้และก้มกราบไปตามเรื่องตามราวของเขา มิได้สนใจจะปฏิบัติตามผู้คนรอบข้างแต่อย่างใด

เกือบสองทุ่ม เสียงกลองโหมโรงของโรงงิ้วถึงได้ดังขึ้น เสียงกลองมิได้เร้ารัวคึกคักชวน ให้ตื่นเต้น ย่ำกลองเพียงประเดี๋ยวเดียว งิ้วก็ชักฉากเปิดการแสดง
เก้าอี้ว่างที่หน้าโรงงิ้ว ผู้คนทยอยกันมาจับจอง ล้วนแต่เป็นผู้คนในวัยล่วงสนธยาจนถึงล่วงสู่ปัจฉิมวัย ผู้เฒ่าที่เฝ้าคอยดูงิ้วมีน้อยลงทุกปีไปตามธรรมชาติสังขาร คนรุ่นหลังมิได้มาสัมผัสทดแทน ข้าพเจ้าคะเนดู พบว่าคนที่ดูงิ้วอยู่นี้เลยวัยหกสิบเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่อาวุโสจนเลยวัยเจ็ดสิบมีน้อยเหลือเกิน ที่ต่ำกว่าห้าสิบก็มีน้อยรายที่ตั้งใจดูงิ้วเพื่อความเพลิดเพลิน คนต่ำกว่าสามสิบมาเมียงมองครู่หนึ่งแล้วก็จากไป อาจไปแวะหาอาหารมารับประทานที่แผงริมบาทวิถี หรือมิฉะนั้นก็เดินลับหายไปในราตรีกาล
การแสดงงิ้วในคืนสุดท้ายของเทศกาลกินเจที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ผู้แสดงค่อนข้างตั้งใจ จับเรื่องความรัก ความสมหวัง ความผิดหวัง และการฆาตกรรม เป็นแกนเรื่องที่แสดง น้ำเสียง ลีลา และฉาก ต่างก็งดงามสดใส ข้าพเจ้าเฝ้าจับสังเกตลีลาการวาดมือวาดเท้าของนักแสดง อยากรู้ว่าที่เขาเอาคนพูดจีนไม่ได้มาแสดงงิ้ว ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร แต่ตัวแสดงหลักทุกตัวที่ข้าพเจ้าเห็นล้วนแต่เปล่งเสียงและมีลีลาแสดงอย่างคนที่ผ่านการฝึกฝนพื้นฐานในศิลปะด้านนี้มาพอสมควร ข้าพเจ้าดูออกว่าตัวแสดงหลักทุกตัวรู้และเข้าใจในทุกประโยคคำพูดที่เขาเอื้อนเอ่ย พวกเขาอาจเป็นนักแสดงสุดท้ายที่รู้ เข้าใจ และฝึกพื้นฐานของศิลปะการแสดงแขนงนี้มาอย่างตั้งใจ
เรื่องราวของงิ้วดำเนินต่อไป ตัวผู้ร้ายเกิดพลั้งมือสังหารตัวแสดงฝ่ายดีเข้าคนหนึ่ง ถึงตอนนี้ตัวแสดงอย่างที่เรียกในศัพท์การแสดงว่า “พวกทหารเลว” จะต้องออกมาร่วมอยู่ในฉาก และข้าพเจ้าพบความไม่กลมกลืนของตัวทหารเลวและตัวแสดงหลักในฉากการแสดงนับตั้งแต่นี้
ไม่ว่าการเดินเหิน หรือลีลาการวาดมือ ทหารเลวทกตัวไม่มีลีลาสิ่งใดของศิลปะการแสดงงิ้วปรากฏให้รู้ ว่ามีพื้นฐานอยู่เลย มันคงเป็นแต่เพียง งานอาชีพของผู้คนจำนวนหนึ่ง มันคงเป็นแต่เพียง การทำงานของคนบางคน ทำไปตามที่สั่ง ทำไปตามที่สอน ไม่ใช่การเข้าถึงบทบาทและจิตวิญญาณในฐานะนักแสดงและการแสดง
ขณะที่ยืนอยู่ในฉากเดียวกัน ในขณะที่ตัวแสดงหลักแสดงให้เห็นถึงลีลาท่าทางอันงามสง่า ทหารเลวยืนทื่อ ขยับมือขยับเท้าด้วยท่าทางเก้งก้างแข็งกระด้าง อย่างไม่เข้าใจในบทบาทด้านลึกของตน เป็นความไม่กลมกลืนที่ไม่ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องงิ้วมากมายก็สัมผัสได้

ดึกขึ้นทุกที ตัวทหารเลวต้องทำหน้าที่ของเขาถี่ขึ้น ผู้คนที่หน้าโรงต่างก็นั่งชมอยู่ที่ม้านั่งของตน คนที่ชมทยอยจากไป คนที่นั่งเป็นกลุ่มพูดคุยกันพลางชมการแสดงไปพลางเริ่มแยกย้ายกันกลับ เหลือผู้คนในวัยเกินหกสิบเสียเป็นส่วนใหญ่ที่เฝ้าติดตามบทบาทบนเวทีด้วยความเพลิดเพลิน
เด็กๆ กลับไปแล้ว คนวัยกลางคนส่วนใหญ่กลับไปแล้ว ทหารเลวเหลือบทบาทหน้าที่ในเรื่องน้อยลง ตัวแสดงหลักต้องแสดงลีลาการแสดงบทบาทของเขาอยู่บนโรงงิ้ว แผงขายอาหารค่อยๆ คลายความคึกคักลง เป็นคืนสุดท้ายที่งิ้วจะแสดงในเทศกาลกินเจของปีนี้ พรุ่งนี้แม่ค้าต้องกลับไปขายอาหารคาวอีก
ข้าพเจ้าเดินออกจากลานกว้างบริเวณโรงงิ้วด้วยความรู้สึกเหงาๆ ค่ำคืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้โรงงิ้วก็จะต้องถูกรื้อถอนออกไป ลานกว้างแห่งนี้ใช้จอดรถได้หลายสิบคัน
ค่ำคืนนี้ดึกมากแล้ว ไม่นานงิ้วก็จะแสดงถึงฉากสุดท้าย ข้าพเจ้าเดินจากโรงงิ้วมาเงียบๆ ก่อนที่การแสดงจะถึงฉากสุดท้าย เดินหายไปในราตรีกาลของยุคสมัย


เรืองรอง  รุ่งรัศมี


พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในหนังสือ มังกรซ่อนลาย แพรวสำนักพิมพ์ พ.ศ.2541

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น