ก่อนงิ้วลาโรง
สนธยากาลของอีกส่วนเสี้ยว
วัฒนธรรมจีนในไทย
เสียงกลองล่อโก๊ะที่ดังระรัวเร้าเร่งเลือนหายไปจากความทรงจำครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไร
ข้าพเจ้านึกไม่ออก จนเย็นย่ำวันหนึ่งที่ชีวิตเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย
ขณะเดินเตร็ดเตร่ไปตามบาทวิถีที่คุ้นเคย เสียงนั้นจึงได้ดังแว่วเข้ามาในจินตนาการ
เดินผ่านโรงงิ้วยามสนธยาตรงศาลเจ้าที่คุ้นเคย
แผงขายอาหารเจเริ่มคึกคักด้วยจำนวนผู้ซื้อและผู้ขาย โรงงิ้วภายในศาลเจ้าเงื่องหงอยซึมเซายิ่งขึ้นทุกปี
ยิ่งเข้าสู่กาลโพล้เพล้พลบค่ำเช่นนี้ ยิ่งชวนให้รู้สึกหมองเศร้าอ้างว้าง
ผู้คนที่มาไหว้เจ้าต่างนุ่งห่มกันด้วยชุดขาว
แม้จะไม่บางตาจนชวนให้หมองหม่นเช่นโรงงิ้ว แต่ก็มิได้คึกคักสดใส
แน่นอนว่าการมาไหว้เจ้ายังศาลเจ้านั้นต้องการความสงบสำรวม
แต่ก็น่าจะสำรวมโดยแฝงความสดใสแห่งพลังชีวิตได้มากกว่านี้
อาจเป็นเพราะคนที่มาไหว้เจ้าส่วนใหญ่เป็นคนเลยวัยกลางคนที่มากันคนเดียวกระมัง ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นภายในใจ
ไม่มีภาพของการอุ้มลูกจูงหลาน ไม่มีคนวัยหนุ่มสาวประคองพยุงคนแก่
ไม่มีความสนุกซุกซนของเด็กๆ
ไม่มีเสียงร้องไห้โยเยที่ไม่ได้ดั่งใจของเจ้าหนูตัวน้อย
สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกเหมือนอากาศตรงศาลเจ้าแห่งนี้เปลี่ยนไป
เหมือนจะทำให้หายใจได้ไม่เต็มปอด เหมือนจะทำให้รู้สึกโหวงๆ ภายใน
ยิ่งเมื่อหันมามองแสงไฟหมองหม่นที่โรงงิ้วยามเย็นที่ยังคงเงียบงัน
ทั้งที่ควรจะเป็นเวลากระหน่ำย่ำกลองตูมๆ เป็นสัญญาณโหมโรงบอกให้รู้ว่า
อีกสักครู่ใหญ่จะมีมหรสพที่ตรงนี้
ความรู้สึกเหมือนยิ่งเดินพลัดหลงไปในสนธยากาลโดดเดี่ยว
ใต้โรงงิ้ว นักแสดงเริ่มพอกแป้งแต่งหน้ากันบ้างแล้ว
แสงไฟมอซอซึมเซาเช่นเดียวกับโรงงิ้วที่ฉากงดงามยังไม่กางลงมา
ระหว่างแผงขายอาหารเจ ริมบาทวิถีหน้าศาลเจ้าและโรงงิ้วในศาลเจ้า
เหมือนมีฉากนามธรรมคั่นแบ่งโลกทั้งสองออกจากกัน
โลกของการทรุดโทรมและโลกของการเติบโต
หลายปีมานี้ผู้คนรับรู้ถึงคุณค่าของอาหารจากพืชผักจนเป็นกระแสนิยม
ความรู้เรื่องการรับประทานอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์เป็นที่กล่าวขวัญและปฏิบัติตามอย่างแพร่หลาย
การรับประทานอาหารมังสวิรัติกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้แผงอาหารเจ ร้านอาหารเจ ภัตตาคารอาหารเจ มีลูกค้าที่แน่นอน
และมีแนวโน้มเป็นธุรกิจที่เติบโตทำกำไรไม่น้อย
คนกินอาหารเจรุ่นหนุ่มสาวมีมากขึ้นพร้อมๆ กับที่อากง อาม่า อาเจ็ก อาแปะ
ร่วงโรยไปดุจดั่งใบไม้ร่วงโรยจากต้นในยามชิวเทียนอ้างว้าง
การกินเจเพื่อสุขภาพกับการถือศีลกิน
เจทดแทนตำแหน่งกันได้ไหม คุณค่าเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ อาหารเจที่แสนอร่อย
ซื้อหาสะดวก กับอาหารเจที่ค่อยๆ เคี่ยวค่อยๆ ต้มด้วยไฟอ่อนจากฝีมืออาม่า
อาอี๊ที่บ้าน คุณค่าทางใจต่างกันแค่ไหน
ยุคสมัยอันเร่งรีบและสังคมเงินตราเหลือหัวใจละเอียดอ่อนของคนให้รับรู้ได้ไหม
การกินอาหารเจสำเร็จรูปกับการปรุงอาหารพิเศษด้วยความตั้งใจ
ย่อมไม่ใช่สิ่งเดียวกันอย่างแน่นอน หากแต่ใครจะรู้สึกรับรู้
เดินย่ำไปในสนธยากาลโดดเดี่ยว
ข้าพเจ้าย่ำไปริมบาทวิถีจากศาลเจ้าแรกไปตามย่านคนจีน ตะวันคล้อยดวงลงทุกที
สินค้าในร้านและวัฒนธรรมการกินอยู่ของพวกเขาแปลกแยกกับอากง
อาม่าของเขามากขึ้นทุกที
ข้าพเจ้ามองดูแผงอาหารเจ ศาลเจ้า โรงงิ้ว
และผู้คนที่มาไหว้เจ้าในยามสนธยกาลด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ข้าพเจ้านิ่งมองดูคนและเห็นหลืบเงาชีวิตทางวัฒนธรรมของสังคมที่กำลังเปลี่ยนไป
โลกยุคใหม่แล้ว อะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลง อะไรๆ
ก็ต้องพัฒนาหาสิ่งที่ก้าวหน้ากว่า ฝีเท้าต้องเร่งให้เร็ว มุ่งไปข้างหน้า
เงานั้นมักเป็นสิ่งที่ทอดอยู่ข้างหลัง จึงไม่มีเวลาเหลียวหลังไปมอง
ใจไม่ว่างพอที่จะเอาใจใส่ แสงวิทยาศาสตร์ที่สว่างไสวบางครั้งก็ทำให้เราลืมว่า
เงาเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กันของความสว่าง การลืมเลือน ละเลย
หลายครั้งแปลว่าคือว่าไม่มีความไม่รู้
หลายครั้งก็แปลความหมายได้ว่าคือการไม่มีเช่นกัน
ยามสนธยากาลโพล้เพล้ของยุคสมัย
โลกกำลังหมุนไปสู่ยุคที่ไร้เงา มีเพียงแต่แสงสว่างที่หมุนรอบตัวเองเร็วขึ้นทุกที
เร็วจนผู้คนรู้สึกไม่ว่างพอที่จะมีความรู้สึกตัวในชีวิต
ย่ำเดินไปถึงอีกศาลเจ้าหนึ่งขณะแสงแดดค่อยๆ
อ่อนแรง ถัดจากยามพลบก็จะล่วงสู่เวลาค่ำคืน
แสงไฟของโรงงิ้วที่ศาลเจ้านี้สว่างไสวขึ้นแล้ว
ม่านสีแดงปักเลื่อมล้อแสงวูบวาบ ลานหน้าโรงงิ้วกว้างขวางกว่าที่ศาลเจ้าแห่งแรกมาก
เก้าอี้เปล่าตั้งอยู่เรียงราย เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว
เสียงกลองโหมโรงของโรงงิ้วยังมิได้แว่วมา แผงขายอาหาร แผงขายขนม แผงขายข้าวโพดปิ้ง
ติดไฟวอมแวม ผู้คนแวะรับประทานอาหารคนแล้วคนเล่า
แต่กลองโรงงิ้วก็ยังมิได้กระหน่ำโหมโรง ไม่มีใครไปจับจองที่นั่งรอคอยการแสดงของงิ้วคืนนี้เสียแต่เนิ่นๆ
เก้าอี้ว่างเปล่าตั้งอยู่เรียงราย
งิ้วไม่ใช่มหรสพที่น่าตื่นเต้นอีกแล้วเมื่อทุกครอบครัวมีโทรทัศน์มีวีดิโอเป็นโรงหนังส่วนตัวที่บ้าน
เมื่อไม่มีคนฟังมันรู้เรื่อง และมีคนเข้าถึงลีลางดงามของมันน้อยลงทุกที
มันจึงกลายเป็นความเคยชิน ประเพณี พิธีกรรม และหน้าตา
แทนที่จะเป็นมหรสพความบันเทิงอย่างที่เคยเป็นและควรจะเป็น
รอคอยเวลางิ้วจะเริ่มแสดงอยู่ที่ศาลเจ้า
ข้าพเจ้าพบว่าคนที่มาไหว้เจ้ามิได้มากันเป็นกลุ่ม
ผู้คนต่างคนต่างมาเสียเป็นส่วนใหญ่
น้อยรายที่ผู้อาวุโสจะมีลูกหลานล้อมหน้าล้อมหลัง
ข้าพเจ้าสัมผัสถึงความเคว้งคว้างในแววตาและท่าทางของผู้เฒ่าบางคน
ข้าพเจ้ารู้สึกเคว้งคว้างอยู่ภายในใจของตน
ล่วงสู่ยามค่ำแล้วจริงๆ แสงธูปเรื่อๆ
และแสงเทียนวูบไหวในศาลเจ้าจะส่องสว่างได้สักเพียงใด ทั่วทุกหนแห่งแสงกล้าของวิทยากรใหม่สาดสว่างจ้า
การจัดตำแหน่งแสงไฟยุคใหม่ลบเงาที่อาจเกิดขึ้นเสียด้วยการเพิ่มตำแหน่งดวงไฟ
รอคอยอยู่ที่ม้านั่งยาวริมผนังของศาลเจ้า
รอคอยเวลาที่งิ้วตรงลานกว้างฝั่งตรงข้ามเริ่มการแสดง
สายตามองไปที่สาธุชนมาจุดธูปไหว้เจ้าอย่างไม่ตั้งใจ
คนแล้วคนเล่า คนแล้วคนเล่า พวกเขามักมาคนเดียว
มักจะเป็นคนเลยวัยกลางคน เขาพากันจัดของไหว้ที่โต๊ะเงียบๆ
รินเติมน้ำมันที่ตะเกียงศาลเจ้า จุดธูปกำหนึ่ง ปักเรียงไปทีละกระถาง
ไหว้และก้มกราบ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงช่องว่างระหว่างผู้คนกับผู้คน
หญิงสาวคนหนึ่งจุดธูปอยู่ตรงตะเกียง
เธอถามชายอาวุโสว่าจะต้องใช้ธูปกี่ดอก
ชายอาวุโสซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ใกล้บอกว่าต้องใช้ธูป 29 ดอก ปักเรียงไปทีละกระถาง จากทางนั้นถึงทางนี้
เธอนับกำธูปที่เธอกำลังจ่อไฟอยู่ที่ตะเกียง
เด็กชายจุดธูปกำหนึ่ง เขาไม่ได้นับจำนวน
คนฟังภาษาจีนแต้จิ๋วที่ชายอาวุโสสอนบอกหญิงสาวไม่ออก
เขาคงเป็นลูกหลานที่มากับผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง
เด็กชายจุดธูปเสร็จก็เดินไปปักธูปจากกระถางธูปหนึ่งสู่อีกกระถามธูปหนึ่ง
เขาปักธูปไปตามวิถีของเขา ยกมือไหว้และก้มกราบไปตามเรื่องตามราวของเขา
มิได้สนใจจะปฏิบัติตามผู้คนรอบข้างแต่อย่างใด
เกือบสองทุ่ม
เสียงกลองโหมโรงของโรงงิ้วถึงได้ดังขึ้น เสียงกลองมิได้เร้ารัวคึกคักชวน
ให้ตื่นเต้น ย่ำกลองเพียงประเดี๋ยวเดียว งิ้วก็ชักฉากเปิดการแสดง
เก้าอี้ว่างที่หน้าโรงงิ้ว ผู้คนทยอยกันมาจับจอง
ล้วนแต่เป็นผู้คนในวัยล่วงสนธยาจนถึงล่วงสู่ปัจฉิมวัย
ผู้เฒ่าที่เฝ้าคอยดูงิ้วมีน้อยลงทุกปีไปตามธรรมชาติสังขาร
คนรุ่นหลังมิได้มาสัมผัสทดแทน ข้าพเจ้าคะเนดู
พบว่าคนที่ดูงิ้วอยู่นี้เลยวัยหกสิบเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่อาวุโสจนเลยวัยเจ็ดสิบมีน้อยเหลือเกิน
ที่ต่ำกว่าห้าสิบก็มีน้อยรายที่ตั้งใจดูงิ้วเพื่อความเพลิดเพลิน
คนต่ำกว่าสามสิบมาเมียงมองครู่หนึ่งแล้วก็จากไป
อาจไปแวะหาอาหารมารับประทานที่แผงริมบาทวิถี หรือมิฉะนั้นก็เดินลับหายไปในราตรีกาล
การแสดงงิ้วในคืนสุดท้ายของเทศกาลกินเจที่ศาลเจ้าแห่งนี้
ผู้แสดงค่อนข้างตั้งใจ จับเรื่องความรัก ความสมหวัง ความผิดหวัง และการฆาตกรรม
เป็นแกนเรื่องที่แสดง น้ำเสียง ลีลา และฉาก ต่างก็งดงามสดใส
ข้าพเจ้าเฝ้าจับสังเกตลีลาการวาดมือวาดเท้าของนักแสดง
อยากรู้ว่าที่เขาเอาคนพูดจีนไม่ได้มาแสดงงิ้ว ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร
แต่ตัวแสดงหลักทุกตัวที่ข้าพเจ้าเห็นล้วนแต่เปล่งเสียงและมีลีลาแสดงอย่างคนที่ผ่านการฝึกฝนพื้นฐานในศิลปะด้านนี้มาพอสมควร
ข้าพเจ้าดูออกว่าตัวแสดงหลักทุกตัวรู้และเข้าใจในทุกประโยคคำพูดที่เขาเอื้อนเอ่ย
พวกเขาอาจเป็นนักแสดงสุดท้ายที่รู้ เข้าใจ
และฝึกพื้นฐานของศิลปะการแสดงแขนงนี้มาอย่างตั้งใจ
เรื่องราวของงิ้วดำเนินต่อไป
ตัวผู้ร้ายเกิดพลั้งมือสังหารตัวแสดงฝ่ายดีเข้าคนหนึ่ง
ถึงตอนนี้ตัวแสดงอย่างที่เรียกในศัพท์การแสดงว่า “พวกทหารเลว” จะต้องออกมาร่วมอยู่ในฉาก
และข้าพเจ้าพบความไม่กลมกลืนของตัวทหารเลวและตัวแสดงหลักในฉากการแสดงนับตั้งแต่นี้
ไม่ว่าการเดินเหิน หรือลีลาการวาดมือ
ทหารเลวทกตัวไม่มีลีลาสิ่งใดของศิลปะการแสดงงิ้วปรากฏให้รู้ ว่ามีพื้นฐานอยู่เลย
มันคงเป็นแต่เพียง “งานอาชีพ” ของผู้คนจำนวนหนึ่ง
มันคงเป็นแต่เพียง “การทำงาน” ของคนบางคน
ทำไปตามที่สั่ง ทำไปตามที่สอน
ไม่ใช่การเข้าถึงบทบาทและจิตวิญญาณในฐานะนักแสดงและการแสดง
ขณะที่ยืนอยู่ในฉากเดียวกัน
ในขณะที่ตัวแสดงหลักแสดงให้เห็นถึงลีลาท่าทางอันงามสง่า ทหารเลวยืนทื่อ
ขยับมือขยับเท้าด้วยท่าทางเก้งก้างแข็งกระด้าง อย่างไม่เข้าใจในบทบาทด้านลึกของตน
เป็นความไม่กลมกลืนที่ไม่ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องงิ้วมากมายก็สัมผัสได้
ดึกขึ้นทุกที
ตัวทหารเลวต้องทำหน้าที่ของเขาถี่ขึ้น
ผู้คนที่หน้าโรงต่างก็นั่งชมอยู่ที่ม้านั่งของตน คนที่ชมทยอยจากไป
คนที่นั่งเป็นกลุ่มพูดคุยกันพลางชมการแสดงไปพลางเริ่มแยกย้ายกันกลับ
เหลือผู้คนในวัยเกินหกสิบเสียเป็นส่วนใหญ่ที่เฝ้าติดตามบทบาทบนเวทีด้วยความเพลิดเพลิน
เด็กๆ กลับไปแล้ว คนวัยกลางคนส่วนใหญ่กลับไปแล้ว
ทหารเลวเหลือบทบาทหน้าที่ในเรื่องน้อยลง
ตัวแสดงหลักต้องแสดงลีลาการแสดงบทบาทของเขาอยู่บนโรงงิ้ว แผงขายอาหารค่อยๆ
คลายความคึกคักลง เป็นคืนสุดท้ายที่งิ้วจะแสดงในเทศกาลกินเจของปีนี้
พรุ่งนี้แม่ค้าต้องกลับไปขายอาหารคาวอีก
ข้าพเจ้าเดินออกจากลานกว้างบริเวณโรงงิ้วด้วยความรู้สึกเหงาๆ
ค่ำคืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้โรงงิ้วก็จะต้องถูกรื้อถอนออกไป
ลานกว้างแห่งนี้ใช้จอดรถได้หลายสิบคัน
ค่ำคืนนี้ดึกมากแล้ว
ไม่นานงิ้วก็จะแสดงถึงฉากสุดท้าย ข้าพเจ้าเดินจากโรงงิ้วมาเงียบๆ
ก่อนที่การแสดงจะถึงฉากสุดท้าย เดินหายไปในราตรีกาลของยุคสมัย
เรืองรอง รุ่งรัศมี
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในหนังสือ มังกรซ่อนลาย แพรวสำนักพิมพ์ พ.ศ.2541
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น