ค้นหาบทความ

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไวท์แฟง หมาป่าผู้พิทักษ์

 ครั้งที่คนยังไม่เรียกหมาว่า "น้องหมา" แต่เพียงเรียกมันว่า "หมา" หรือ "สุนัข" นั้น มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมาที่เข้มข้น จริงจัง และสนุก เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมาบางเรื่อง ที่เล่าถึงความเถื่อน ความจริง ความกล้า ความเป็นอิสระ ความสง่า ทระนง ความรัก ความผูกพัน และความงดงามของชีวิต
ในครั้งนั้นเขายังไม่เรียก "น้องหมา" ด้วยสรรพนาม "เขา" และไม่เรียกแทนดอกไม้ และสิ่งไม่มีชีวิตอีกหลายอย่างว่า "เขา" ราวกับว่าจิตใจของพวกเขาจะมิได้อ่อนโยนเสียจนไม่พร้อมจะสร้างความสะเทือนใจให้ใครต่อใครอย่างคนสมัยนี้ 
ทว่า ครั้นหันมาสำรวจพฤติกรรมการกระทำอื่นๆ ของผู้คนในยุคของเราอย่างมีรายละเอียด กลับได้พบว่า เราเพียงสามารถนำตนให้ห่างออกมาจากกิริยาอาการอันเขาถือว่า "กักขฬะ" ได้สักนิ้ว สักคืบ แต่ทว่ายังกอดรัดความโหดเหี้ยม อำมหิตเอาไว้ในใจอย่างแนบแน่น บางทีเราอาจโหดร้ายป่าเถื่อนเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งชีวิตและโลกยังมิได้ซับซ้อน

ในขณะที่เราอ่านเรื่อง "หมา" เรื่องนี้ พร้อมๆ กันไปเราก็มองเห็นเรื่องของ "คน" ซ้อนอยู่ในนั้น เป็นการเล่าถึงหมาอย่างให้เกียรติ และเป็นการเล่าถึงคนอย่างให้เกียรติด้วย
แจ็ค ลอนดอน เล่าเรื่องหมาเอาไว้ในนิยายของเขาหลายเรื่อง และเรื่องของหมาป่าเขี้ยวขาว ชื่อไวท์แฟง ที่ค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ชีวิต จนท้ายที่สุดถูกเรียกขานอย่างให้เกียรติว่า "หมาป่าผู้พิทักษ์" ก็เป็นเรื่องเล่าที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งของเขา
ไวท์แฟงเป็นลูกของหมาป่าสีเทา ไอ้ตาเดียว กับ คี้ช แม่หมาป่าเลือดผสมที่ยังคงมีสายเลือดของหมาป่าในสัดส่วนเข้มข้น
เรื่องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ไอ้ตาเดียวหมาป่าสีเทากับคี้ชแม่ของไอ้เขี้ยวขาวไวท์แฟงยังเร่ร่อนหากินร่วมอยู่ในฝูงหมาป่า เป็นชีวิตอันทรหดอดทน โหดร้าย และเข้มข้น ท่ามกลางผืนป่าและหิมะในฤดูหนาว

ชีวิตในป่านั้น ตรง และจริงอย่างยิ่ง เมื่ออดคือหิว หิมะคือความหนาว อาหารคือความอิ่ม ความจริงตรงๆ ง่ายๆ อย่างนี้ แม้ไม่ตั้งใจพิจารณามันเป็นพิเศษก็ยังคงประจักษ์ชัดได้ง่าย และไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร  ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
การต้องเอาชีวิตให้รอด สอนให้ต้องเผชิญความจริง  สอนให้ต่อสู้ ปรับตัว และกล่อมเกลาให้มีจิตวิญญาณที่แข็งแรง ทั้งคนและสัตว์ต่างก็อยู่ในกฎเกณฑ์ที่มิได้แตกต่างกันมากนัก
ตัวละครมนุษย์ที่อยู่ในเรื่องนี้ ถูกมองและถูกเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่มิได้สูงส่งและก็มิได้ต่ำต้อยกระไรนัก เรื่องเล่าเรื่องนี้มิได้เป็นเรื่องเล่าเชิงเสียดเย้ยหรือเหน็บแนม เรื่องจึงถูกเล่าโดยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เองที่กระตุ้นเร้าให้เราติดตามเรื่องราวไปด้วยความสนใจใคร่รู้
ชีวิตของไอ้ตาเดียว คี้ช และไวท์แฟง เข้มข้น เต็มไปด้วยเหตุการณ์  จากการสู้กับความหิวโหยและเหน็บหนาวในรุ่นของพ่อแม่ในป่าเปลี่ยว จนคี้ชกลับไปใช้ชีวิตร่วมในแคมป์อินเดียนแดง กระทั่งไวท์แฟงเกิดมา เรื่องราวพาไปสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์การสร้างชาติของอเมริกาในยุคตื่นทอง เราค่อยๆ เห็นการเคลื่อนไปของชีวิตและสังคมผ่านสิ่งที่หมาอย่างไวท์แฟงประสบพบเจอและมองเห็น

ด้วยการเล่าผ่านสายตาของหมา เรื่องราวทิ้งระยะห่างให้เราซึ่งเป็นผู้อ่านได้มอง ด้วยมุมมองเช่นนี้ เราสามารถ "ตั้งข้อสังเกต" เหตุการณ์ที่ผู้เขียนเลือกนำมาเล่า และด้วยการทิ้งระยะห่างเช่นนี้เอง ภาพของอินเดียนแดงชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอเมริกาจึงมิได้ถูกหยามหมิ่นหรือสรรเสริญ จนเราเกิดความเคลือบแคลง เราได้มองดู "เจ้านาย" แต่ละคนของไวท์แฟงอย่างมีรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเกรย์บีเวอร์, บิวตี้ สมิธ, วีดัน สก็อตต์, แมทท์ และสมาชิกทุกคนที่บ้าน เซียร์รา วิสตาของผู้พิพากษาสก็อตต์ ต่างก็มีเหตุบางอย่างทำให้แสดงพฤติกรรมของตนออกมาเช่นนั้น
ด้วยวิธีการเล่าเรื่องเช่นนี้เองที่ทำให้เราไม่อาจเกลียดชัง หรือประณามพฤติกรรมเลวร้ายหลายเรื่องของเกรย์บีเวอร์ และบิวตี้ สมิธจนสุดขั้วเกินไป และเช่นกัน ไอ้ตาเดียวกับคี้ชแม่ของไวท์แฟง กระทั่งตัวไวท์แฟงเอง ก็มีพฤติกรรมด้านลบมากมายจากเหตุปัจจัยน่าเจ็บปวดของการต้องเอาชีวิตให้รอดแบบเดียวกัน
ในเรื่องเล่าที่เหมือนจะเถื่อน ดุร้าย และเข้มข้นนี้  มีประกายของความรักเป็นเส้นร้อยเรื่องราวเอาไว้ ไวท์แฟงเกือบจะแสดงออกถึงความรักออกมาไม่เป็นเสียแล้ว หากว่าชีวิตวนเวียนอยู่กับคนอย่าง เกรย์บีเวอร์ กับ บิวตี้ สมิธ และในด้านกลับกัน หากชีวิตของเกรย์บีเวอร์ กับ บิวตี้ สมิธ จะไม่เป็นดั่งที่มันเป็น  ไวท์แฟงก็คงไม่ถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นชีวิตที่หัวใจด้านชาได้ถึงปานนี้
ผ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้  เหมือนว่าผู้เขียนจะพยายามบอกเล่าต่อเรา ถึงเรื่องการเรียนรู้ที่จะแสดงออกถึงความรักของของไวท์แฟงเป็นหลัก แต่ถ้ามองในรายละเอียด การเรียนรู้ทีละน้อยๆ ของท่านผู้พิพากษาสก็อตในเรื่อง ก็เป็นเหมือนน้ำเสียงเตือนสติต่อท่านผู้เจริญทั้งหลายว่า สรรพชีวิตล้วนแต่มีเกียรติและมีปัญญาที่จะเรียนรู้ถึงความละเอียดอ่อนของหัวใจรักได้

จากฉากในป่าลึกที่เถื่อนและดิบ ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ฉากของสังคมสมัยใหม่มากขึ้นๆ กฎเกณฑ์ต่างๆ ดูเหมือนจะซับซ้อนขึ้น แต่ไวท์แฟงก็ยังคงเก็บรักษาวิญญาณป่าอันอิสระและสง่างามเอาไว้ได้  
แม้วิญญาณป่าของไวท์แฟงจะต้องปรับตัวอย่างมากเมื่อไปอยู่เมืองสมัยใหม่ แต่ว่าความเป็นอิสระ และสง่า ทระนงของวิญญาณป่า ที่กล้าเผชิญกับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่หลีกหนี ก็เป็นเกียรติที่ได้รับการสรรเสริญคารวะ
เรื่องเล่าจบลงด้วยความผ่อนคลาย ตัวละครอย่างเกรย์บีเวอร์, บิวตี้ สมิธ, ไอ้ตาเดียวหมาป่าสีเทา และคี้ช แม่หมาป่าเลือดผสมพ่อและของไวท์แฟง ล้วนมิได้ดำมืดอัปลักษณ์จนไม่อาจให้เกียรติหรือลองเปิดหัวใจเมตตาของเรา

ถึงวันที่โลกและชีวิตซับซ้อนจนเราแทบหาความกระจ่างชัดไม่ได้ง่ายๆ หากเรายังคงวิญญาณอิสระ มีความเข้มแข็งทระนงในตน กล้าเผชิญกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่หลีกหนี ยังคงพร้อมที่จะเรียนรู้ และรู้จักปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม จิตวิญญาณที่มีเกียรติอย่างที่มีในตัวของไวท์แฟง ไอ้หมาป่าตาเดียว และคี้ช แม่ของไอ้เขี้ยวขาวไวท์แฟง ก็จะยังสถิตอยู่ในตัวตนของเรา และนั่นคือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นอิสระชน
จิตวิญญาณเถื่อนทั้งของมนุษย์และสัตว์ เจือจางลงไปกับการเคลื่อนไปของยุคสมัย พอเคลื่อนมาถึงวันเวลาที่การใช้ชีวิตกลางแจ้งมิได้เป็นวิถีชีวิตปกติ หากแต่กลายเป็น "รูปแบบการใช้ชีวิต" (life style)อย่างหนึ่ง อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะบอบปาง ปวกเปียก อ่อนแอ จนน่าเป็นห่วง
ทว่าเสียงหอนโดดเดี่ยวของไวท์แฟง หมาป่าตาเดียวพ่อของมัน และคี้ชแม่ของมัน ก็ยังคงเป็นวิญญาณอิสระที่ควรค่าแก่การรำลึกถึงให้บ่อยๆ ถึงชีวิตที่กร้าวแกร่ง ทระนง เป็นอิสระ และสง่างาม

เรืองรอง  รุ่งรัศมี
21/8/2013

พิมพ์ครั้งแรกเป็น “คำนำ” ในหนังสือ ไวท์แฟง สำนักพิมพ์ เรียงรัน 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น