ครั้งที่คนยังไม่เรียกหมาว่า "น้องหมา" แต่เพียงเรียกมันว่า
"หมา" หรือ "สุนัข" นั้น มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมาที่เข้มข้น
จริงจัง และสนุก เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมาบางเรื่อง ที่เล่าถึงความเถื่อน
ความจริง ความกล้า ความเป็นอิสระ ความสง่า ทระนง ความรัก ความผูกพัน
และความงดงามของชีวิต
ในครั้งนั้นเขายังไม่เรียก
"น้องหมา" ด้วยสรรพนาม "เขา"
และไม่เรียกแทนดอกไม้ และสิ่งไม่มีชีวิตอีกหลายอย่างว่า "เขา" ราวกับว่าจิตใจของพวกเขาจะมิได้อ่อนโยนเสียจนไม่พร้อมจะสร้างความสะเทือนใจให้ใครต่อใครอย่างคนสมัยนี้
ทว่า
ครั้นหันมาสำรวจพฤติกรรมการกระทำอื่นๆ ของผู้คนในยุคของเราอย่างมีรายละเอียด กลับได้พบว่า
เราเพียงสามารถนำตนให้ห่างออกมาจากกิริยาอาการอันเขาถือว่า "กักขฬะ" ได้สักนิ้ว
สักคืบ แต่ทว่ายังกอดรัดความโหดเหี้ยม อำมหิตเอาไว้ในใจอย่างแนบแน่น บางทีเราอาจโหดร้ายป่าเถื่อนเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งชีวิตและโลกยังมิได้ซับซ้อน
ในขณะที่เราอ่านเรื่อง "หมา" เรื่องนี้ พร้อมๆ กันไปเราก็มองเห็นเรื่องของ "คน" ซ้อนอยู่ในนั้น
เป็นการเล่าถึงหมาอย่างให้เกียรติ และเป็นการเล่าถึงคนอย่างให้เกียรติด้วย
แจ็ค
ลอนดอน เล่าเรื่องหมาเอาไว้ในนิยายของเขาหลายเรื่อง และเรื่องของหมาป่าเขี้ยวขาว
ชื่อไวท์แฟง ที่ค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ชีวิต
จนท้ายที่สุดถูกเรียกขานอย่างให้เกียรติว่า "หมาป่าผู้พิทักษ์" ก็เป็นเรื่องเล่าที่ดีมากๆ
เรื่องหนึ่งของเขา
ไวท์แฟงเป็นลูกของหมาป่าสีเทา
ไอ้ตาเดียว กับ คี้ช
แม่หมาป่าเลือดผสมที่ยังคงมีสายเลือดของหมาป่าในสัดส่วนเข้มข้น
เรื่องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ไอ้ตาเดียวหมาป่าสีเทากับคี้ชแม่ของไอ้เขี้ยวขาวไวท์แฟงยังเร่ร่อนหากินร่วมอยู่ในฝูงหมาป่า
เป็นชีวิตอันทรหดอดทน โหดร้าย และเข้มข้น ท่ามกลางผืนป่าและหิมะในฤดูหนาว
ชีวิตในป่านั้น ตรง และจริงอย่างยิ่ง เมื่ออดคือหิว หิมะคือความหนาว อาหารคือความอิ่ม ความจริงตรงๆ ง่ายๆ อย่างนี้
แม้ไม่ตั้งใจพิจารณามันเป็นพิเศษก็ยังคงประจักษ์ชัดได้ง่าย และไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
การต้องเอาชีวิตให้รอด
สอนให้ต้องเผชิญความจริง สอนให้ต่อสู้ ปรับตัว
และกล่อมเกลาให้มีจิตวิญญาณที่แข็งแรง ทั้งคนและสัตว์ต่างก็อยู่ในกฎเกณฑ์ที่มิได้แตกต่างกันมากนัก
ตัวละครมนุษย์ที่อยู่ในเรื่องนี้
ถูกมองและถูกเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่มิได้สูงส่งและก็มิได้ต่ำต้อยกระไรนัก เรื่องเล่าเรื่องนี้มิได้เป็นเรื่องเล่าเชิงเสียดเย้ยหรือเหน็บแนม เรื่องจึงถูกเล่าโดยน้ำเสียงราบเรียบ
ทว่าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เองที่กระตุ้นเร้าให้เราติดตามเรื่องราวไปด้วยความสนใจใคร่รู้
ชีวิตของไอ้ตาเดียว
คี้ช และไวท์แฟง เข้มข้น เต็มไปด้วยเหตุการณ์ จากการสู้กับความหิวโหยและเหน็บหนาวในรุ่นของพ่อแม่ในป่าเปลี่ยว
จนคี้ชกลับไปใช้ชีวิตร่วมในแคมป์อินเดียนแดง กระทั่งไวท์แฟงเกิดมา เรื่องราวพาไปสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์การสร้างชาติของอเมริกาในยุคตื่นทอง
เราค่อยๆ เห็นการเคลื่อนไปของชีวิตและสังคมผ่านสิ่งที่หมาอย่างไวท์แฟงประสบพบเจอและมองเห็น
ด้วยการเล่าผ่านสายตาของหมา เรื่องราวทิ้งระยะห่างให้เราซึ่งเป็นผู้อ่านได้มอง ด้วยมุมมองเช่นนี้
เราสามารถ "ตั้งข้อสังเกต" เหตุการณ์ที่ผู้เขียนเลือกนำมาเล่า และด้วยการทิ้งระยะห่างเช่นนี้เอง
ภาพของอินเดียนแดงชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอเมริกาจึงมิได้ถูกหยามหมิ่นหรือสรรเสริญ จนเราเกิดความเคลือบแคลง เราได้มองดู
"เจ้านาย" แต่ละคนของไวท์แฟงอย่างมีรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเกรย์บีเวอร์, บิวตี้ สมิธ, วีดัน
สก็อตต์, แมทท์ และสมาชิกทุกคนที่บ้าน เซียร์รา
วิสตาของผู้พิพากษาสก็อตต์ ต่างก็มีเหตุบางอย่างทำให้แสดงพฤติกรรมของตนออกมาเช่นนั้น
ด้วยวิธีการเล่าเรื่องเช่นนี้เองที่ทำให้เราไม่อาจเกลียดชัง
หรือประณามพฤติกรรมเลวร้ายหลายเรื่องของเกรย์บีเวอร์ และบิวตี้
สมิธจนสุดขั้วเกินไป และเช่นกัน ไอ้ตาเดียวกับคี้ชแม่ของไวท์แฟง
กระทั่งตัวไวท์แฟงเอง
ก็มีพฤติกรรมด้านลบมากมายจากเหตุปัจจัยน่าเจ็บปวดของการต้องเอาชีวิตให้รอดแบบเดียวกัน
ในเรื่องเล่าที่เหมือนจะเถื่อน
ดุร้าย และเข้มข้นนี้ มีประกายของความรักเป็นเส้นร้อยเรื่องราวเอาไว้
ไวท์แฟงเกือบจะแสดงออกถึงความรักออกมาไม่เป็นเสียแล้ว หากว่าชีวิตวนเวียนอยู่กับคนอย่าง
เกรย์บีเวอร์ กับ บิวตี้ สมิธ และในด้านกลับกัน หากชีวิตของเกรย์บีเวอร์ กับ
บิวตี้ สมิธ จะไม่เป็นดั่งที่มันเป็น
ไวท์แฟงก็คงไม่ถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นชีวิตที่หัวใจด้านชาได้ถึงปานนี้
ผ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้
เหมือนว่าผู้เขียนจะพยายามบอกเล่าต่อเรา ถึงเรื่องการเรียนรู้ที่จะแสดงออกถึงความรักของของไวท์แฟงเป็นหลัก แต่ถ้ามองในรายละเอียด การเรียนรู้ทีละน้อยๆ
ของท่านผู้พิพากษาสก็อตในเรื่อง ก็เป็นเหมือนน้ำเสียงเตือนสติต่อท่านผู้เจริญทั้งหลายว่า
สรรพชีวิตล้วนแต่มีเกียรติและมีปัญญาที่จะเรียนรู้ถึงความละเอียดอ่อนของหัวใจรักได้
จากฉากในป่าลึกที่เถื่อนและดิบ ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ฉากของสังคมสมัยใหม่มากขึ้นๆ กฎเกณฑ์ต่างๆ ดูเหมือนจะซับซ้อนขึ้น แต่ไวท์แฟงก็ยังคงเก็บรักษาวิญญาณป่าอันอิสระและสง่างามเอาไว้ได้
แม้วิญญาณป่าของไวท์แฟงจะต้องปรับตัวอย่างมากเมื่อไปอยู่เมืองสมัยใหม่ แต่ว่าความเป็นอิสระ และสง่า ทระนงของวิญญาณป่า ที่กล้าเผชิญกับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่หลีกหนี ก็เป็นเกียรติที่ได้รับการสรรเสริญคารวะ
เรื่องเล่าจบลงด้วยความผ่อนคลาย ตัวละครอย่างเกรย์บีเวอร์, บิวตี้ สมิธ, ไอ้ตาเดียวหมาป่าสีเทา
และคี้ช แม่หมาป่าเลือดผสมพ่อและของไวท์แฟง
ล้วนมิได้ดำมืดอัปลักษณ์จนไม่อาจให้เกียรติหรือลองเปิดหัวใจเมตตาของเรา
ถึงวันที่โลกและชีวิตซับซ้อนจนเราแทบหาความกระจ่างชัดไม่ได้ง่ายๆ หากเรายังคงวิญญาณอิสระ
มีความเข้มแข็งทระนงในตน กล้าเผชิญกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่หลีกหนี
ยังคงพร้อมที่จะเรียนรู้ และรู้จักปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม จิตวิญญาณที่มีเกียรติอย่างที่มีในตัวของไวท์แฟง
ไอ้หมาป่าตาเดียว และคี้ช แม่ของไอ้เขี้ยวขาวไวท์แฟง ก็จะยังสถิตอยู่ในตัวตนของเรา และนั่นคือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นอิสระชน
จิตวิญญาณเถื่อนทั้งของมนุษย์และสัตว์
เจือจางลงไปกับการเคลื่อนไปของยุคสมัย พอเคลื่อนมาถึงวันเวลาที่การใช้ชีวิตกลางแจ้งมิได้เป็นวิถีชีวิตปกติ
หากแต่กลายเป็น "รูปแบบการใช้ชีวิต" (life style)อย่างหนึ่ง อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะบอบปาง
ปวกเปียก อ่อนแอ จนน่าเป็นห่วง
ทว่าเสียงหอนโดดเดี่ยวของไวท์แฟง หมาป่าตาเดียวพ่อของมัน
และคี้ชแม่ของมัน ก็ยังคงเป็นวิญญาณอิสระที่ควรค่าแก่การรำลึกถึงให้บ่อยๆ ถึงชีวิตที่กร้าวแกร่ง
ทระนง เป็นอิสระ และสง่างาม
เรืองรอง รุ่งรัศมี
21/8/2013
พิมพ์ครั้งแรกเป็น “คำนำ” ในหนังสือ ไวท์แฟง สำนักพิมพ์ เรียงรัน 2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น