ประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์จีนแผ่นดินใหญ่มีมายาวนานถึง
90 ปี แต่ยุคสมัยอันสำคัญมีอยู่
2 ช่วง คือ ราวทศวรรษ 1930-1940
ถือเป็นยุคที่มีความสำคัญในฐานะที่สามารถสถาปนาอาณาจักรแห่งภาพยนตร์ลงในแผ่นดินใหญ่ได้มั่นคง
ถือเป็นการเบิกยุคใหม่ของศิลปาการด้านภาพยนตร์อย่างมีสุนทรียศาสตร์
จนทำให้ภาพยนตร์จีนเป็นที่ยอมรับทั่วไปในประเทศจีน
อีกยุคที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือ ช่วงทศวรรษ 1980 จนถึงปัจจุบัน
เป็นช่วงเวลาที่ผู้กำกับร่วมสมัยคนแล้วคนเล่าของจีน
สามารถสถาปนาอาณาจักรของภาพยนตร์จีนได้อย่างมั่นคงในกระแสภาพยนตร์โลก
ภาพยนตร์จีนร่วมสมัยเรื่องแล้วเรื่องเล่าไปได้รางวัลในการประกวดภาพยนตร์ตามประเทศต่างๆ
จนทำให้ภาพยนตร์จีนสามารถเปิดประตูสู่โลกภายนอกอย่างมีศักดิ์ศรี
การที่ภาพยนตร์จีนยุคใหม่มีพัฒนาการจนก่อให้เกิดคุณภาพใหม่
มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ ฐานรากที่สำคัญอย่างยิ่งน่าจะมาจากการมีสถาบันที่สอนวิชาการทางด้านภาพยนตร์อย่างเป็นทางการและสืบเนื่องต่อกันมายาวนาน
การมีสถาบันการศึกษาด้านภาพยนตร์โดยตรง
นอกจากทำให้มีการถ่ายทอดความรู้ในแขนงศิลปะการภาพยนตร์ได้อย่างเป็นระบบ
และมีหลักวิชาการแล้ว ยังทำให้สถาบันการศึกษาด้านภาพยนตร์กลายเป็นแหล่งสะสมข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์จีนไปด้วยพร้อมกัน
จากการมี “ราก” ทางวิชาการและข้อมูลเช่นนี้เอง
ที่ทำให้ศิลปะแขนงนี้สามารถเติบโตแข็งแรงขึ้นทีละน้อย กระทั่งสามารถกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา
นอกจากการมีสถาบันการเรียนการสอนทางด้านภาพยนตร์อย่างเป็นทางการแล้ว
การคลี่คลายตัวทางการเมืองก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมหนังจีนมีโอกาสเจริญเติบโต
ประเทศจีนเริ่มตั้งโรงถ่ายภาพยนตร์โดยรัฐตั้งแต่ช่วงแรกๆ
ของการเป็นประเทศสังคมนิยม เนื่องจากเห็นความสำคัญของแนวรบด้านวัฒนธรรม
จากหลักคิดเช่นนี้เองที่ทำให้รัฐยื่นมือเข้ามาก่อตั้งและดูแลโรงถ่ายภาพยนตร์
ภาพยนตร์นอกจากให้ความบันเทิงต่อมวลชนผู้ชมทั่วไปแล้ว ยังทำหน้าที่ปลุกเร้า โฆษณา
และยกระดับความคิดของผู้คนโดยทั่วไป
การดูแลชี้นำแนวทางการทำงานศิลปะโดยรัฐและพรรคนี้พัฒนามาจนถึงจุดสูงสุด
และกลายเป็นจุดอับของวงการศิลปะในยุคซ้ายจัดของแก๊งสี่คน การควบคุมชี้นำจนเกินพอดี
กลายเป็นการควบคุมและจำกัดเสรีภาพทางความคิดทั้งในรูปแบบและเนื้อหา และนั่นนำพาศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆ
ไปสู่จุดเสื่อมในที่สุด
แต่ใช่ว่าการที่รัฐและพรรคเข้ามาเกี่ยวข้องผูกพันกับองค์กรศิลปวัฒนธรรมจะเป็นแต่ด้านร้ายเพียงด้านเดียว
ในด้านดี คือ ทำให้องค์กรมั่นคง แข็งแรง และไม่ต้องประสบปัญหาทางด้านการเงินบ่อยๆ
ประกอบกับที่นอกจากมีโรงถ่ายแล้ว จีนยังเปิดให้มีสถาบันทางการศึกษาทางด้านภาพยนตร์ขึ้นด้วย
และนั่นนำมาซึ่งการเติบโตทางวิชาการ ทำให้ผู้เรียนผู้สอนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าวิจัยวิชาความรู้ทางด้านนี้ได้อย่างสะดวกขึ้น
แม้จะไม่มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ แต่ก็ถือได้ว่ามีเสรีภาพในระดับหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ
ส่งผลสะเทือนในระดับลึกต่อแวดวงภาพยนตร์จีนมาตลอดเส้นทางเติบโตของศิลปะแขนงนี้
ยุคทศวรรษ 1980-1990
เป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นคืนชีพใหม่ของภาพยนตร์จีนแผ่นดินใหญ่
ภายหลังประสบกับภาวะอับเฉารกร้างจากผลพวงช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม
แต่สิ่งเหล่านี้ก็กลับกลายเป็น “ประเด็น” และ “วัตถุดิบ”
สำหรับผู้กำกับหลายๆ คนในเวลาต่อมาด้วย
ช่วงระหว่าง ค.ศ.1966-1976
เป็นช่วงเวลาที่จีนเดินแนวทางซ้ายจัด การกระทำใดๆ ล้วนมีเข็มมุ่งไปที่การปฏิวัติวัฒนธรรมและการก้าวกระโดดครั้งใหญ่
ความคับแคบตายด้านของวิธีคิดกลายเป็นกรอบพันธนาการ แต่พออำนาจของแก๊งสี่คนเสื่อมลง
พื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ก็ขยายตัวออกไป พอถึงปลายทศวรรษ 1980 นโยบายการคลี่คลายตัวทางเศรษฐกิจก็ปรากฏชัดขึ้น พร้อมๆ กับนโยบายเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบการตลาด
การจะควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือของรัฐอย่างสิ้นเชิงก็เป็นสิ่งที่มิใช่จะกระทำได้ง่ายๆ
อีกแล้ว
เมื่อประตูถูกเปิด
การไหลเข้าและไหลออกของวัฒนธรรมและความคิดเป็นไปอย่างรวดเร็ว เงินทุนไหลเข้ามา
ผลงานสร้างสรรค์ชิ้นใหม่ไหลออกไป และเมื่อพรมแดนทางศิลปะเปิดกว้างขึ้น
พรมแดนแห่งการสร้างสรรค์ก็ขยายตัวตามไป
แล้วจากนั้นภาพยนตร์จีนเรื่องแล้วเรื่องเล่าก็ไปปรากฏต่อสายตาชาวโลก
ไม่เฉพาะเพียงภาพยนตร์ที่สร้างใหม่ ภาพยนตร์เรื่องเก่าๆ ยุคทศวรรษ 1930, 1940 และอื่นๆ
ก็ได้รับความสนใจ และในที่สุด สุภาษิตจีนที่ว่า “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ”
ก็พิสูจน์คุณภาพของภาพยนตร์จีนให้เป็นที่ยอมรับของชาวโลกในเวลาไม่นานต่อมา
ค.ศ.1978
รัฐบาลจีนเริ่มเดินแนวทางเปิดกว้างทางการเมือง พอถึงปี ค.ศ.1984 ก็เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบการตลาดอย่างเต็มตัว ค.ศ.1992 เป็นต้นมา ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมการตลาดก็ลงรากปักฐานในจีนอย่างมั่นคง
สินค้าทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านภาพยนตร์ กลายเป็นตลาดใหญ่ที่มีผู้ต้องการซื้อขึ้นมา
และนั่นทำให้ผู้สร้างสรรค์งานด้านนี้ต้องรับแรงปะทะนี้
ทำให้พวกเขาพากันปรับกระบวนการสร้างสรรค์
ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยมจะก่อผลในด้านอื่นเช่นไร
แต่สำหรับภาพยนตร์แล้ว มันได้กลายเป็นตะแกรงร่อนอันหนึ่ง ที่มีส่วนคัดเลือกและพิสูจน์คุณภาพของหนังจีนอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ประกอบกับความเข้มแข็งในแง่หลักวิชาการ
ภาพยนตร์จีนส่วนหนึ่งก็สามารถผ่านการพิสูจน์ของตะแกรงร่อนอันนี้ กระบวนการผลิตภาพยนตร์เรื่องหนึ่งๆ
กลายเป็นศิลปะไปด้วย และผู้มีฝีมือก็มีสนามให้พิสูจน์ต่อผู้ชมทั่วไปในช่วงต้น
ในช่วงแรกที่ภาพยนตร์จีนยุคใหม่ออกมาพิสูจน์ต่อผู้ชมทั่วไปในช่วงต้นทศวรรษ
1980
เรื่องที่นำมาสร้างมักผูกพันกับงานวรรณกรรม ภาพยนตร์ดีๆ
หลายเรื่องล้วนแต่อิงอยู่กับวรรณกรรมที่ดี
ภาพยนตร์อย่างเรื่อง “จวี๋โต้ว” (JU DOU, 1990), “โคมแดงแขวนเอาไว้สูงๆ”
(RAISE THE RED LANTERN, 1991), “แป้งฝุ่นแดง” (BLUSH
: HONG FEN) และ “เอ้อ ม่อ” (ER MO)
ล้วนแต่สร้างมาจากวรรณกรรมที่ดี กระแสการสร้างภาพยนตร์จากงานวรรณกรรมที่ดียังคงดำเนินสืบเนื่องต่อมาจนปัจจุบัน
แม้ว่าหนังที่ดีอีกจำนวนหนึ่งจะเขียนเรื่องขึ้นมาเอง
แต่คติที่ว่า “ท่านไม่สามารถสร้างภาพยนตร์ที่ดีขึ้นมาจากบทภาพยนตร์ที่เลวได้”
ก็ถูกยึดถืออย่างเคร่งครัด ความคิดที่ “ไม่มั่ว” และ “ไม่ใช่มวยวัด”
เช่นนี้เอง ที่มีส่วนสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาการของหนังจีนยุคใหม่
มองอย่างผิวเผิน
เราอาจรู้สึกว่าหนังจีนยุคใหม่ที่ดี ล้วนเป็นผลงานของผู้กำกับรุ่นที่ 5 แต่ความจริงแล้ว
ยังมีผู้กำกับในวัยอื่นๆ ที่ทำงานดีๆ ออกมาตลอดเวลา ไม่เพียงแต่กลุ่มที่ถูกเรียกว่า
ผู้กำกับรุ่นที่ 4 รุ่นก่อนไปจากนั้น หรือรุ่นหลังจากรุ่นที่
5 ก็กำลังสร้างสรรค์งานดีๆ ออกมาเรื่อยๆ เช่นกัน
ปัจจุบันดูเหมือนกลุ่มผู้กำกับที่มีบทบาทที่สุดในแวดวงภาพยนตร์จีน
คือกลุ่มที่ถูกเรียกขานว่า รุ่นที่ 4 รุ่นที่ 5 และรุ่นที่
6 และหลายๆ คนในกลุ่มเหล่านี้
ทำงานคาบเกี่ยวเกยทับระหว่างรุ่นต่อรุ่นเช่นกัน
การคลี่คลายตัวและพัฒนาการของหนังจีนแผ่นดินใหญ่
ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องมิได้หยุดนิ่ง จางอี้โหมว หนึ่งในผู้กำกับรุ่น 5
ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็มีผลงานหนังใหม่ชื่อ “มีอะไรพูดกันดีๆ ก็ได้”
(หยิ่วฮว่าหาวห่าวซวอ หรือ KEEP COOL) ภาพยนตร์เรื่องนี้จางอี้โหมวสามารถหลุดพ้นไปจากการใช้ฉากในชนบท
หรือการอิงเรื่องราวในอดีต มาสู่การพูดถึงเรื่องราวในชีวิตปัจจุบัน
นี่คงเป็นพัฒนาการและการคลี่คลายตัวของผู้กำกับคนดังที่น่าจับตามอง
เรืองรอง รุ่งรัศมี
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกใน “เดือน... ดาว... ในเงาฟิล์ม” แพรวเอนเตอร์เทน
พ.ศ.2542
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น