ค้นหาบทความ

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คนที่นึกชื่อไม่ออก

สุภาษิต : สีอะคริลิค บนแคนวาส 


            ข้าพเจ้ามักพบเขาละแวกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือบริเวณใกล้ๆ นั้นเสมอ ในช่วงใกล้ๆ วันที่ 14 ตุลาคมของแต่ละปี บางครั้งเขานั่งอยู่ในอาการเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่ม้านั่งยาวตรงสนามหลวง บางครั้งเดินเตร็ดเตร่อยู่บนบาทวิถีด้านท่าพระจันทร์ บางปีข้าพเจ้าพบเขาเดินชมแผงหนังสือในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
            เขาแลดูทรุดโทรมไปจากเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วมาก การแต่งกายของเขาบอกให้รู้ว่า เขาอยู่ในสภาพชีวิตที่ฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ ฟันที่หลอไปซี่หรือสองซี่นั้นก็ยังคงหลออยู่เช่นเดิม กี่ปีมาแล้วข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ จะว่าข้าพเจ้าไม่ได้จดจำเขาไว้เป็นพิเศษก็เป็นได้

            เขาเป็นเพื่อนรุ่นน้องของเพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้า เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเขาเป็นนักเรียนอาชีวะที่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่เป็นนักเรียนอาชีวะทั่วไป ไม่ค่อยตั้งใจเรียน มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนในซอยและเด็กต่างสถาบันบ่อยๆ เขาชอบเล่นกีตาร์ และจับกลุ่มตั้งวงดื่มกินเอะอะเฮฮา บางครั้งข้าพเจ้าก็นั่งร่วมอยู่ในวงเฮฮาของพวกเขา ดื่มกินกับพวกเขา ฟังพวกเขาเล่นดนตรีร้องเพลงจากเพลงที่ถูกแปลงเนื้อร้องให้ค่อนข้างลามกหยาบคาย ถึงเพลงแสวงหาของฮิปปี้ฝรั่ง และเพลงเพื่อชีวิต
            กลุ่มของเขา และเพื่อนของข้าพเจ้า รวมทั้งตัวข้าพเจ้าด้วยไม่ใช่คนตื่นตัวทางการเมือง เราเป็นเพียงวัยรุ่นที่มักทำอะไรขวางๆ สายตาและความรู้สึกของผู้ใหญ่ เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเราชอบใส่เสื้อชาวเลยับๆ ที่เราซื้อมาย้อมสีเอง เราชอบไว้ผมยาว สะพายย่าม นุ่งกางเกงยีนส์ และใส่รองเท้ายางรถยนต์  เรียกว่าเราแต่งกายกันอย่างพวก 5 ย. เต็มรูปแบบ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราชอบทำอย่างนี้ คงเป็นเพราะผู้ใหญ่ไม่ชอบให้เราทำอย่างนี้กระมัง เราก็เลยตั้งอกตั้งใจกระทำมัน

            ข้าพเจ้ารู้จักกับเขาและกลุ่มของเขาเพราะเพื่อน ข้าพเจ้าและเพื่อนจบมัธยมปลายมาจากโรงเรียนเดียวกัน เราต่างสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดเพราะสอบคัดเลือกไม่ได้ อันที่จริงแล้วเพื่อนของข้าพเจ้าเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยก่อนหนึ่งปี แต่อาจเพราะความรู้สึกเคว้งคว้างในมหาวิทยาลัยที่ทำให้เราจับกลุ่มกันตามโรงอาหารเมื่อไม่มีชั่วโมงเรียน เรากินอาหารร่วมกัน รอรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยร่วมกัน โบกรถกลับบ้านร่วมกัน ชวนกันไปดูหนัง ไปเที่ยวเตร่เฮฮาดื่มกิน และในวงเฮฮาดื่มกินในซอยบ้านเพื่อนนี้เองที่ข้าพเจ้ารู้จักเขา
            เขาพอเล่นกีตาร์ได้เป็นเพลง สนิทสนมกับรุ่นพี่ง่าย โดยเฉพาะเขาให้เกียรติรุ่นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัย อาจเป็นปมด้อยในใจของคนเรียนอาชีวะในสมัยยี่สิบกว่าปีที่แล้วกระมัง ในวงเฮฮาของเราเขาจึงมักเป็นคนวิ่งไปซื้อน้ำแข็ง โซดา กับแกล้มเสมอ
            เราดื่มกันสนุกสนานอย่างนั้นบ่อยๆ ทั้งๆ ที่แต่ละคนต่างไม่ค่อยมีเงิน ข้าพเจ้าและเพื่อนหลายคนหารายได้ใช้จ่ายเองโดยการรับจ้างตรวจปรู๊ฟหนังสือพ็อกเกตบุ๊ค รับจ้างจัดรูปเล่มหนังสือ รับหนังสือไปเร่ขายริมฟุตบาทบ้าง ลานว่างหน้าโรงหนังบ้าง คนที่ครอบครัวมีสตางค์หน่อยก็ไม่ต้องทำงานหารายได้อย่างพวกเรา แต่เราก็ดื่มกินด้วยกัน ใช้ชีวิตกันไปอย่างไม่เป็นโล้เป็นพายบ้าง มีสำนึกต่อสังคมและส่วนรวมบ้าง ดูเหมือนมิตรภาพในกลุ่มเล็กๆ ของเราจะสามารถข้ามพ้นสถานะทางชนชั้นอย่างที่ไม่มีใครรู้สึกและตั้งใจ

            หลัง 14 ตุลาคม 2516 มีการเดินขบวนบ่อยๆ มีการอภิปรายและแสดงดนตรีที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มของเราก็เป็นเช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งในยุคนั้น เราชอบไปฟังอภิปรายที่ธรรมศาสตร์ ชอบไปฟังดนตรีที่แปลกหูแปลกตาจากที่เราเคยได้ยินได้ฟังจากวิทยุ เพื่อนของข้าพเจ้าเล่นดนตรีเก่ง เขามักเล่นเพลงที่เคยได้ฟังที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ให้เราฟังในวงเหล้าบ่อยๆ เวลามีการชุมนุมเดินขบวน เราไปร่วมอยู่ในขบวน ส่วนใหญ่เราจะอยู่ในกลุ่มค่อนไปทางข้างท้าย บางครั้งเพื่อนของข้าพเจ้าและเพื่อนชาวอาชีวะของเราจะสมัครเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย การลุยการตีกันเป็นสิ่งคุ้นเคยสำหรับพวกเขา จิตใจกล้าเสียสละหรือสำนึกทางสังคมจะมีในใจของเขาหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่รู้ แต่ข้าพเจ้ามักเห็นเขาชอบไปอยู่ในกลุ่มรักษาความปลอดภัย อาจเป็นเพราะว่าที่หน่วยนี้เขามีมิตรสหายที่คุ้นหน้าตา อาจเพราะว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะไม่ต้องวางตัวในสถานะเป็นรองใคร หรืออาจด้วยเหตุผลอื่นใดที่ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าใจ แต่เราก็เข้าร่วมในการชุมนุมเดินขบวนเสมอๆ และโดยมิได้นัดหมาย เรามักจะพบกันในการชุมนุมเดินขบวนเช่นนั้น
            ทุกครั้งที่พบกันเขาจะผละจากกลุ่มเพื่อนอาชีวะของเขาเข้ามาทักทายข้าพเจ้าด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย บ่อยครั้งที่เขาขอเงินสิบบาทยี่สิบบาทจากข้าพเจ้า เราต่างไม่คิดมากกับการขอเงินเพื่อนฝูงใช้ บางทีเราชวนกันไปหาข้าวแกงข้างทางกิน ถ้ารวยหน่อยหลังเลิกจากการชุมนุมเรากลับไปตั้งวงดื่มกินในซอยบ้านของเขา เราคงไม่ใช่คนที่มีชีวทัศน์และโลกทัศน์แจ่มชัด แม้ว่าเราจะอ่านหนังสือ “ชีวทัศน์เยาวชน” เล่มเล็กๆ  กันคนละหลายๆ เที่ยวก็ตาม

            หลัง 6 ตุลาคม 2519 เราต่างไม่ได้พบกัน ดูเหมือนคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ไม่มีใครเข้าป่า แต่เราก็ระมัดระวังตัวและหวั่นหวาดต่ออันตราย ข้าพเจ้าไม่ได้ข่าวว่าเพื่อนของข้าพเจ้าและเพื่อนชาวอาชีวะถูกจับหรือได้รับอันตรายในเหตุการณ์ 6 ตุลา หรือไม่ ข่าวคราวของเราแต่ละคนเงียบหายไปพร้อมๆ กันกับเหตุการณ์ 6 ตุลาและการเดินทางเข้าป่าของคนหนุ่มสาว ข้าพเจ้าและเพื่อนเลิกไปมหาวิทยาลัย ดูเหมือนเพื่อนชาวอาชีวะของเราก็ไม่ได้กลับไปเรียนหนังสือเช่นกัน หลังจากหลบซ่อนตัวกันพักใหญ่ เราต่างก็หาช่องทางดำรงชีพในเมืองตามวิถีทางของแต่ละคน
            เพื่อนที่เล่นดนตรีเก่งของข้าพเจ้าเคยเข้าไปเป็นนักดนตรีในบาร์อยู่ช่วงหนึ่ง เขาทนความเย้ายวนของชีวิตกลางคืนไม่ได้จึงใช้ชีวิตค่อนข้างเหลวไหล กระทั่งบางช่วงจังหวะชีวิตค่อนไปทางเหลวแหลก เพื่อนอีกคนกลายเป็นคนติดเหล้า อีกคนกลายเป็นคนขาดความจริงใจต่อสังคม ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตรอด ทั้งหลอกต้ม โกง กระทั่งหักหลัง อีกคนทำงานสารพัดอย่าง ตั้งแต่ขายทุเรียน ขับสิบล้อ แต่ด้วยจิตใจที่เปราะบาง เขาเป็นคนพ่ายแพ้ต่อชีวิต ที่เมาทั้งเหล้าเมาทั้งชีวิต ชีวิตครอบครัวล้มเหลว และตกงานยาวนาน พูดจาไม่รู้เรื่องจนเพื่อนเอือมระอาที่จะเข้าใกล้ คนที่ประสบผลสำเร็จทางการทำงานก็มีอยู่บ้าง ส่วนข้าพเจ้าพอดำรงชีพอยู่ได้กับงานที่ไม่ต้องใช้แรงงาน เนื่องจากสุขภาพไม่อำนวย ผิดกับเพื่อนชาวอาชีวะที่ข้าพเจ้าพบริ้วรอยชีวิตของคนกรำงานหนักได้อย่างชัดเจน

            เกือบยี่สิบปีที่ไม่ได้พบกันทำให้ข้าพเจ้านึกชื่อของเขาไม่ออก เขาเดินรี่เข้ามายกมือไหว้ข้าพเจ้าที่แผงหนังสือข้างสนามบอลธรรมศาสตร์ ในงาน 14 ตุลาคมเมื่อสองปีที่แล้ว ร่างกายของเขาทรุดโทรมไปมาก เขายังขอเงินข้าพเจ้าสิบยี่สิบบาทเมื่อพบหน้าเหมือนยี่สิบปีที่แล้ว ข้าพเจ้าพบรอยยิ้มฟันหลอและรอยยิ้มที่แววตาของเขาได้อย่างชัดเจน
            เขายังคงทำงานไม่เป็นหลักแหล่งแม้ว่าอายุจะมากขึ้น เขาก็ยังคงเหมือนวัยรุ่นซุกซนที่ค่อนข้างเกเรเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เขายังคงยิ้มอย่างนั้น ยังคงยกมือไหว้ทักทายข้าพเจ้าอย่างสนิทสนมและคุ้นเคย เขาจำชื่อของข้าพเจ้าได้อย่างแม่นยำและขอเงินข้าพเจ้าสิบบาทยี่สิบบาทเหมือนที่เคยทำ ข้าพเจ้าควักเงินออกจากกระเป๋าส่งให้เขา ตบบ่าเขาเบาๆ และชวนเขาไปกินข้าว เขากล่าวขอบคุณเบาๆ แต่ว่าไม่ได้ไปกับข้าพเจ้า
            เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ข้าพเจ้าไม่กล้าบอกเขาว่าข้าพเจ้ายังจำเขาได้ แต่ว่านึกชื่อเขาไม่ออก

            ปีนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ผ่านไปละแวกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วง 14 ตุลา ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเขาจะมานั่งเหน็ดเหนื่อยอยู่แถวสนามหลวง หรือเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวท่าพระจันทร์ หรือว่าคอยเดินหาคนที่รู้จักอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย
          เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าในยามจัดงานรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลา ผู้คนจะมีใจคิดถึงคนที่นึกชื่อไม่ออกอย่างเพื่อนฟันหลอของข้าพเจ้ากันบ้างไหม?
          เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว...



เรืองรอง  รุ่งรัศมี


พิมพ์ครั้งแรก : นสพ.ผู้จัดการรายวัน 21-22 ตุลาคม 2538

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น