ดูหนังจีนแล้วบางทีก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าสิ่งที่เห็นในจอนั้นใกล้เคียงความจริงอยู่แค่ไหน
?
จีนเป็นชาติช่างบันทึก
ร่องรอยหลักฐานจึงมีมาก
อักษรจีนยุคแรกๆอยู่บนกระดองเต่าและกระดูกสัตว์
จีนเรียกว่า "เจี๋ยกู่เหวิน” 甲骨文(jiaˇguˇwenˊ) พิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้วมีอายุกว่า 4,000 ปี
ตัวอักษรบนภาชนะสัมฤทธิ์
บนหิน บนภาชนะดินเผา กระเบื้องเคลือบ บันทึกบนซี่ไม้ไผ่ที่ผูกเป็นผืน
การแกะสลักแม่พิมพ์ไม้ จนมาถึงการเขียนลงบนกระดาษ
ล้วนแต่เป็นร่องรอยหลักฐานที่หนักแน่น
เมื่อจีนคิดประดิษฐ์กระดาษได้
การจดบันทึกลงบนกระดาษได้เป็นโลกของข้อมูลเข้าสู่หน้าใหม่
การจดบันทึกเป็นประเพณีนี้ทำให้เกิดเอกสารหลักฐานที่ใช้อ้างอิงมากมาย
จนมาถึงยุคของกระดาษและกล้องถ่ายรูป ทุกอย่างก็ดูชัดเจน แจ่มแจ้ง
ไม่ต้องตีความแบบคาดเดามากๆ อีกแล้ว
เรื่อง “กิน”
เป็นเรื่องใกล้ตัวของคน มีเรื่องน่ารู้มากมาย น่าสนใจว่าจีนมีการเขียนหนังสือเรื่องสิ่งละอันพันละน้อยมากมาย
ช่วงที่ค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับชาทำให้จำชื่อหนังสือ “ชิงเป้ยเล่ยชาว” (清稗类钞) ในสมัยชิงอ(เช็ง) 清 ได้ว่ามีข้อมูลเรื่องเล็กๆ
น้อยๆ อย่างชวนฉงน เอกสารลักษณะนี้มีน้อยมากในสังคมของเรา
มนุษย์
นอกจากกินเพราะความหิวแล้วยังกินเพราะความอยาก กินตามความคุ้นเคย กินตามสถานะทางชนชั้น
เรื่องกินอย่างวิจิตรบรรจงของจีนส่วนหนึ่งปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่อง
“ความฝันในหอแดง” (红楼梦)ของ ฉาวเสว่ฉิน
(曹雪芹) วรรณกรรมยิ่งใหญ่เรื่องนี้เขียนถึงชีวิตอันฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อของพวกขุนนางครอบครัว
“ไฮโซ” เวลาบรรยายถึงอาหารบนโต๊ะของพวก “ผู้ดีตีนแดง” ละลานตาชวนให้พิศวงว่า คนเรามันจะฟุ้งเฟ้อกันเรื่องกินได้กันขนาดนี้เลยหรือ
แค่อ่านแล้วนึกภาพให้ออกว่าหน้าตาอาหารแต่ละอย่างเป็นอย่างไรก็หูอื้อตาลายแล้ว
ยังไม่รวมไปถึงการจินตนาการว่ารสชาติอาหารอันละลานตาที่ไม่เคยกินนั้นจะเป็นอย่างไร
ความที่จริตไม่ตรงกับรสนิยมของวรรณกรรมเรื่องนี้ จึงทำให้จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใจจะหาหนังสือฉบับเต็มมาอ่าน
ได้แต่อ่านบทความที่ศึกษาวิเคราะห์ หรือที่ขนาด “ตามไปกิน” แล้วมาเขียนถึง
แบบนั้นดูจะน่าสนใจกว่าในความรู้สึกของตน
แค่ครอบครัวขุนนางชั้นสูงในเรื่อง
“ความฝันในหอแดง” ยังกินวิลิศมาหราถึงขนาดนั้น
แล้วในรั้วในวังเขาจะกินกันล้ำลึกพิสดารขนาดไหน ?
ใครๆ ก็รู้ว่าจีนมีอาหารที่เรียกว่า
“อาหารฮ่องเต้” ภาษาจีนเรียกว่า “หม่านฮั่นฉวนสี” (满汉全席) ถ้าเอาอย่างหรูหราอาหารฮ่องเต้นั้นใน 1 มื้อมีกว่า 100
อย่าง ในจำนวนนั้นมีทั้ง รังนก หูฉลาม เป๋าฮื้อ อุ้งตีนหมี ของป่า
ของทะเล เนื้อวัว เนื้อหมู เป็ด ไก่ ห่าน นก กระต่าย เห็ด ผัก ฯลฯ อย่าคิดว่าอาหารแบบนี้เขาไม่ได้กินกันในชีวิตประจำวัน
มีเอกสารอ้างอิงว่าบนโต๊ะอาหารของซูสีไทเฮา (禧太后
1835-1908)และจักรพรรดิปูยี (溥仪1906-1967) แต่ละมื้อมีอาหารละลานตาไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่
จักรพรรดิปูยีต้องสละอำนาจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
1 มกราคม 1912 ภายหลัง ดร.ซุนยัตเซนทำการปฏิวัติโค่นล้มระบบราชาธิปไตยได้สำเร็จ
และสถาปนาระบบประชาธิปไตยขึ้นในปี 1911
น่าสนใจว่ามีเอกสารหลักฐานยืนยันว่า
เดือนเมษายน 1912 รัฐบาลชั่วคราวของ ดร.ซุนยัตเซน
ซึ่งใช้เมืองนานกิง (หนานจิง南京) เป็นเมืองหลวงชั่วคราวนั้น ตัวเลขของรัฐบาลติด “ตัวแดง” จนไม่มีเงินเดือนจะจ่ายข้าราชการ
แม้แต่ค่าอาหารของท่านประธานาธิบดีก็ยังต้องประหยัด กินข้าวต้มกับปาท่องโก๋เป็นอาหารหลัก
ในงานเลี้ยงต่างๆ ก็คิดรายการอาหารที่ประหยัดที่สุด
แต่รายการอาหารเช้าของฮ่องเต้น้อยวัย
6 ขวบในพระราชวังกลับมี เป็ด, ไก่, เนื้อหมู, เนื้อวัว, เนื้อแพะ, ของสดจากทะเล, เต้าหู้, ผัก
ไม่น้อยกว่า 28 อย่าง
มีเอกสารชิ้นหนึ่งแสดงรายละเอียดอาหารที่ปูยี
ไทเฮา ฮองเฮา และสนม บริโภค ใน 1 วัน เป็นตัวเลขเชิงสถิติที่น่าสนใจดังนี้
ส่วนของจักรพรรดิปูยี
เนื้อหมูสำหรับทำอาหารวันละ
22
ชั่ง = เดือนละ 660
ชั่ง
เนื้อหมูสำหรับทำน้ำแกง
5 ชั่ง = เดือนละ 150 ชั่ง
น้ำมันหมู 1 ชั่ง =
เดือนละ 30 ชั่ง
ไก่ 2 ตัว = เดือนละ 60
ตัว
เป็ด 3 ตัว = เดือนละ 90
ตัว
ไก่สำหรับประกอบอาหารอื่น
3 ตัว =
เดือนละ 90 ตัว
ส่วนของไทเฮา
ฮองเฮา และสนม รวมเป็นปริมาณใน 1 เดือน มีดังนี้
ไทเฮา 太后 เนื้อ 1860 ชั่ง ไก่ 30 ตัว เป็ด 30 ตัว
สนมจิ่น 瑾贵妃 เนื้อ 285 ชั่ง ไก่ 7 ตัว เป็ด 7 ตัว
สนมอวี๋ 瑜皇贵妃 เนื้อ 360 ชั่ง ไก่ 15 ตัว เป็ด 15 ตัว
สนมสวิน 珣皇贵妃 เนื้อ 360 ชั่ง ไก่ 15 ตัว เป็ด 15 ตัว
สนมจิ้น 瑨贵妃 เนื้อ 285 ชั่ง ไก่ 7 ตัว เป็ด 7 ตัว
สนมจิ่น 瑾贵妃 เนื้อ 285 ชั่ง ไก่ 7 ตัว เป็ด 7 ตัว
สนมอวี๋ 瑜皇贵妃 เนื้อ 360 ชั่ง ไก่ 15 ตัว เป็ด 15 ตัว
สนมสวิน 珣皇贵妃 เนื้อ 360 ชั่ง ไก่ 15 ตัว เป็ด 15 ตัว
สนมจิ้น 瑨贵妃 เนื้อ 285 ชั่ง ไก่ 7 ตัว เป็ด 7 ตัว
รวมแล้วทั้ง 6 คน คือ จักรพรรดิน้อย ฮองไทเฮา สนมจิ่น สนมอวี๋ สนมสวิน สนมจิ้น
ในแต่ละเดือนจะบริโภค เนื้อ 3960 ชั่ง ไก่และเป็ด 388
ตัว ในจำนวนนี้ยังไม่รวมที่ใช้ในครัวของขันทีและข้าราชบริพาร
ถ้ารวมขุนนางใกล้ชิด,ขันที,มหาดเล็ก ในแต่ละเดือนในวังจะใช้เนื้อ 31844
ชั่ง, น้ำมันหมู 840 ชั่ง
, เป็ดไก่ 4786 ตัว, ปลา, กุ้ง, ไข่ น้ำหนัก 14,794
ตำลึง ยังไม่รวมขนมผลไม้อื่นๆ
อ่านข้อมูลเหล่านี้แล้วเราอาจเผลอคิดว่ามันห่างไกลตัวมาก
แต่พอมองดูที่วันเวลา นี่มันเป็นยุคที่โลกมีกล้องถ่ายหนัง มีดนตรีแจ๊ส มีรถยนต์
กันแล้วนี่
การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยอยู่ในเวลาเดียวกับการต่อสู้รบพุ่งกันทั้งกับต่างชาติและรบกันเอง
กบฏนักมวย กบฏชาวนาอี้เหอถวน สงครามฝิ่น
ในเวลานั้น
อาวุธแบบใหม่ ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนสู่ความเป็นสมัยใหม่
ความคิดเรื่องเสรีภาพ ความคิดเรื่องประชาธิปไตยกำลังเคลื่อนเข้าไปในทุกพื้นที่ของโลก
ดร.ซุนยัตเซนศึกษาวิชาการแพทย์แผนตะวันตก
แต่งตัวแบบเสื้อผ้าฝรั่ง ขบถด้วยการตัดผมเปียที่เป็นขนบแมนจู แล้วรวบรวมกำลังคนเพื่อก่อการปฏิวัติ
เรื่องราวเหล่านี้ปรากฏอยู่ในเอกสารมากมาย
และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องแล้วเรื่องเล่าตลอดระยะเวลาร่วม 100
ปีที่ผ่านมา
การก่อการของ ดร.ซุนยัตเซนประสบความล้มเหลวหลายครั้ง
ขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยสูญเสียทั้งกำลังคน กำลังทรัพย์เป็นจำนวนไม่น้อย
แต่ในที่สุดสิ่งที่ก้าวหน้ากว่า และเป็นผลดีต่อคนหมู่มาก ก็ได้รับชัยชนะในที่สุด
แม้เมื่อได้รับชัยชนะแล้วทุกสิ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น
การขาดความคล่องตัวทางการเงินของรัฐบาลนานกิง จนไม่มีเงินคงคลังสำหรับจ่ายเงินเดือนเป็นตัวอย่างหนึ่ง
แต่ด้วยแนวความคิดเรื่อง
“ไตรราษฎร์” (三民主义) ระบอบประชาธิปไตยในจีนก็ค่อยๆคลี่คลายตัว
จากช่วงเวลาที่ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนข้ารัฐการ
จนการสร้างเครื่องบินที่แม้แต่น็อตทุกตัวก็ผลิตด้วยตัวเองนั้น รัฐบาลประชาธิปไตยของ
ดร.ซุนยัตเซนใช้เวลาไม่นานเลย น่าเสียดายที่ท่านอายุสั้น สิ้นชีวิตหลังจากอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีไม่นาน
ทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจเพื่อหวังครองความเป็นใหญ่ในหมู่ขุนศึกต่างๆ
และโชคไม่ดีซ้ำเข้าไปอีกที่ต้องรบกับฝรั่งและญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก แล้วต่อด้วยการรบกันภายในกับกองทัพแดงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเวลาต่อมา
วันนี้จีนมีเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงของตัวเอง
และสามารถส่งยานอวกาศขึ้นไปโคจรสำรวจอวกาศแล้วหลายครั้ง ส่วนไทยที่เคลื่อนตัวสู่โลกสมัยใหม่ในเวลาไร่เรี่ยกัน
ยังคิดหาวิธีกำจัดหมัดบนรถไฟด้วยความภาคภูมิอยู่เลย
พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ “Dragon Square” นิตยสาร Mix เดือนมิถุนายน 2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น